โบราณสถานยามราตรี
จากกระแสละคร “พรหมลิขิต” กระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับผู้จัดละครของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ถอดบทเรียนให้ละครเป็น Soft Powerที่ทำให้คนรุ่นใหม่รักศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมานั้น นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมส่งเสริม Soft Power เบิกฟ้าอโยธยา ย้อนเวลาไปกับ พรหมลิขิต โดย นางยุพาทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายนิวัฒน์รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยานายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากรนางอรุโณชา ภาณุพันธุ์ ผู้จัดละคร นายเขมทัตต์พลเดช นายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ นายชาคริต ดิเรกวัฒนชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักกิจการและสื่อสารองค์กร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน)ร่วมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดารานักแสดงจากละครพรหมลิขิต เครือข่ายทางวัฒนธรรม และประชาชนที่สนใจร่วมกัน ณ อาคารเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาซึ่งมีการเสวนาร่วมกันถอดบทเรียนที่สำคัญจากการผลิตและนำเสนอละคร พรหมลิขิตเพื่อที่จะนำมาปรับใช้เป็นแนวทางส่งเสริมและผลักดันผลิตภัณฑ์ด้านวัฒนธรรมไทยออกสู่ระดับสากล เพื่อสร้างการรับรู้ และเพิ่มการท่องเที่ยว อันจะส่งผลต่อการสร้างรายได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ชุมชนทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง หรือ FILM อันได้แก่ละครโทรทัศน์ ซีรี่ส์ภาพยนตร์ ฯลฯ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความสำเร็จในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ให้กับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นแนวทางการส่งเสริมจากภาครัฐ เพื่อให้สื่อบันเทิงอย่างละครสามารถผลิตผลงานสู่สากลได้มากขึ้น จากการทำงานจนเกิดความสำเร็จของผู้ประกอบการและผู้จัดละครที่จะต้องผลิตคอนเทนต์ที่ทั้งต้องสนุกจนได้รับความนิยม และในขณะเดียวกันนั้นต้องร่วมกันเผยแพร่เรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์ของไทยไปด้วย ให้เป็นพลังนิยมชมชอบที่จะทำให้ชาวต่างชาติเกิดความสนใจวัฒนธรรมไทยและเกิดรายได้ให้ประเทศต่อไป
วิทยากรการเสวนา
ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมงานละครให้เป็นพลังของวัฒนธรรมและเกิดกิจกรรมขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่วัดไชยวัฒนารามนั้นได้มีการจัดบรรยากาศความร่มรื่นจากการบรรเลงและขับร้องดนตรีไทยสากล ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร การออกร้านสาธิตอาหารไทยโบราณและผ้าลายอย่าง ท่ามกลางการแต่งตัวย้อนสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์อย่างละครจนกลายเป็นสีสันของการเที่ยวย้อนอดีตในโบราณสถานในยามราตรี พร้อมกับเรียนรู้เรื่องวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลายที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.๒๑๗๓ เดิมบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของพระราชมารดาที่ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อน เมื่อพระเจ้าปราสาททองเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์จึงได้สร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้นเพื่ออุทิศผลบุญนี้ให้กับพระราชมารดาของพระองค์ และเป็นวัดที่นำรูปแบบของสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งมาจากปราสาทนครวัด ความสำคัญในฐานะวัดหลวงที่บำเพ็ญพระราชกุศลของกษัตริย์สืบต่อมาที่ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชสมัยและใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระบรมวงศานุวงศ์เกือบทุกพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สวรรคตก็ได้ถวายพระเพลิงที่วัดนี้ ในช่วงสงคราม พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น วัดไชยวัฒนารามถูกแปลงเป็นค่ายตั้งรับศึก หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแล้ว วัดไชยวัฒนารามได้ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างและมีผู้ร้ายเข้าไปลักลอบขุดหาสมบัติ เศียรพระพุทธรูปถูกตัดขโมย มีการรื้ออิฐที่พระอุโบสถ และกำแพงวัดจนทรุดโทรม ภายหลังตั้งแต่ในปีพ.ศ.๒๕๓๐ กรมศิลปากรได้เข้ามาอนุรักษ์บูรณะบำรุงจนแล้วเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๓๕ จนเป็นโบราณสถานสำคัญยอดนิยมที่นำไปเป็นฉากในละครย้อนอดีตอยู่บ่อยครั้ง จนให้เกิดกระแสนิยมวัฒนธรรม และรายได้จากท่องเที่ยวที่มีการเช่าชุดแต่งกายย้อนยุคถ่ายภาพให้เป็นคนชื่นชมประวัติศาสตร์และรักวัฒนธรรมจากสถาปัตยกรรมที่งดงามในอดีตมาจนวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี