เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมาชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูในหลากหลายเมือง พากันออกมาจุดประทัดและดอกไม้ไฟ พร้อมร้องรำทำเพลง ท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริง ควบคู่ไปกับการเฝ้าชมการถ่ายทอดสดพิธีเปิดวิหารพระราม ในเมืองอโยธยา รัฐอุตตระประเทศ ทางเหนือของอินเดีย ที่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดียร่วมพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ แม้ตัววัดจะยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม
วิหารพระรามนี้มีความสูง 3 ชั้น สร้างด้วยดินทรายสีชมพู ผสมกับหินแกรนิตสีดำเป็นหลัก ภายในประดิษฐานเทวรูปพระรามความสูง 51 นิ้ว โดย โมดี เชิญถาดเครื่องบูชา ก่อนจะเข้าไปทำพิธีปราณประดิษฐานภายในวิหาร หลังจากผู้นำอินเดียยอมอดอาหารมาถึง 11 วัน เป็นส่วนหนึ่งของพิธีชำระล้างเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานสำคัญในครั้งนี้ ขณะที่ประชาชนที่อยู่ด้านนอกวัดกว่า 7,500 คน รวมทั้งบรรดานักการเมือง นักธุรกิจดารานักแสดง ร่วมชมพิธีผ่านจอขนาดยักษ์ ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ในพิธีซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
วิหารพระรามสร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 7,700 ล้านบาท ด้วยเงินบริจาคจากภาคเอกชน ขณะนี้เปิดเฉพาะชั้นล่าง คาดว่าชั้นอื่นๆ จะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ รัฐบาลอินเดียคาดว่าเมื่อแล้วเสร็จ จะมีผู้ศรัทธาเดินทางมายังวิหารพระรามวันละมากกว่า 150,000 คนทำให้การก่อสร้างวิหารนี้กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองอโยธยา ทำให้เกิดโรงแรมขึ้นตามมาหลายแห่งที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งการเปิดสนามบินและสถานีรถไฟใหม่
เป็นที่ทราบกันดีว่า โมดีได้ยกให้การสร้างวิหารพระรามนี้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง จนพรรคภารติยะชันตะ หรือ BJP ของเขาชนะการเลือกตั้ง และเพิ่งกล่าวว่า เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของรัฐบาล ที่ใช้วิหารพระราม เป็นเสมือนแกนกลางของวิสัยทัศน์ทางการเมืองในการกู้คืนศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของชาวฮินดูในอินเดีย รวมทั้งเป็นการทำตามคำมั่นสัญญาเก่าแก่หลายทศวรรษของพรรคชาตินิยมฮินดูพรรคนี้
ขณะที่พิธีเปิดวิหารพระรามเผชิญกระแสคัดค้านจากนักการเมืองฝ่ายค้าน เนื่องจากมองว่าโมดีและพรรค BJP ใช้วิหารพระรามเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อกวาดคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ในประเทศที่ประชากรร้อยละ 80 นับถือศาสนาฮินดู นอกจากนี้ชาวฮินดูบางส่วน มองว่าการจัดพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ในขณะที่เทวสถานยังสร้างไม่เสร็จ ถือเป็นการกระทำไม่ค่อยเหมาะสมตามความเชื่อของศาสนา
พื้นที่พิพาท ฮินดู-มุสลิม
ชาวฮินดูเชื่อว่า สถานที่สร้างวัดพระรามแห่งนี้ เป็นสถานที่ประสูติของพระราม เมื่อ 7,000 ปีก่อน แต่ที่เป็นประเด็นน่าจับตามองเกี่ยวกับความขัดแย้ง เนื่องจากในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดบาบรี สร้างขึ้นเมื่อปี 1528 ตามคำสั่งของจักรพรรดิบาบูร์ กษัตริย์พระองค์แรกของจักรวรรดิโมกุล ที่ปกครองอินเดียตั้งแต่ปี 1526 จนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะล่มสลายลงหลังอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย
จากข้อมูล พบว่า ชาวมุสลิมและฮินดูเริ่มขัดแย้งกันในประเด็นสถานที่ตั้งของมัสยิดแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1856 ซึ่งทำให้อังกฤษต้องสร้างรั้วเป็นแนวกั้นแบ่งพื้นที่ของ 2 กลุ่มออกจากกัน ต่อมาในปี 1992 ชาวฮินดูกว่า 2 แสนคนทุบทำลายมัสยิดบาบรี จนเกิดจลาจลทั่วอินเดียมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2 พันคน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
การแย่งชิงพื้นที่ดังกล่าวยุติลงในปี 2019 หลังจากศาลสูงสุดอินเดียตัดสินให้พื้นที่พิพาทตกเป็นของชาวฮินดู และให้มีการสร้างมัสยิดแห่งใหม่ห่างจากจุดเดิม 25 กิโลเมตร ขณะที่ในปีถัดมา จึงได้เริ่มมีการสร้างวิหารพระรามขึ้นในที่สุด
แกนนำกลุ่มมุสลิมที่ดูแลโครงการสร้างมัสยิด คาดการณ์ว่า จะเริ่มสร้างมัสยิดแห่งใหม่ในเมืองอโยธยาได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ และแม้ว่าผู้คนจะหวังให้ความขัดแย้งระหว่างศาสนายุติลง แต่ชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งยังคงกังวลถึงนโยบายของรัฐบาลอินเดีย
เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลอินเดียรับคำร้องพิจารณาคดี ที่ชาวฮินดูเรียกร้องสิทธิในการเข้าใช้สถานที่ในมัสยิดที่เมืองพาราณสี ซึ่งสร้างขึ้นสมัยจักรวรรดิโมกุล รวมทั้งเรียกร้องให้มีการสร้างวัดภายในสถานที่ดังกล่าวด้วย หลังจากเชื่อว่า มัสยิดแห่งนี้สร้างทับที่วัดฮินดูในอดีต กลุ่มชาตินิยมฮินดูเตรียมใช้เครื่องมือทางกฎหมาย เพื่อทวงคืนพื้นที่สร้างวัด ซึ่งอาจกระทบกับมัสยิดหลายพันแห่งทั่วอินเดีย
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี