พระธาตุพนมปัจจุบัน
ในดินแดนสยามนั้น มีพระธาตุสถิตและสักการะมาแต่โบราณ อยู่ในจังหวัดต่างๆ แต่ที่สำคัญนั้น คือ พระธาตุพระพนม ด้วยเมื่อต้นพุทธกาลประมาณพุทธศักราชที่ ๘
สมัยศรีโคตรบูร มี “พระอุรังธาตุ” ประดิษฐานอยู่บน ณ ดอยกัปปนคีรี หรือภูกำพร้า อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำนานเล่าว่า เป็นสถานที่ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เคยเสด็จมาโปรดสัตว์น้อยโหญ่ในตํานานอุรังคธาตุได้กล่าวถึง เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ พระมหากัสสปะ เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย เพื่อมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ และคณะพระอรหันต์๕๐๐ องค์ ได้นําพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากชมพูทวีปคณะเดินทางมาถึงอาณาจักรแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณที่เป็นแขวงคำม่วน-แขวงสุวรรณเขต แห่งพระราชอาณาจักรลาว และบริเวณที่เป็นแขวงนครพนม-แขวงสกลนคร แห่งพระราชอาณาจักรไทย ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้นเดิมเรียกว่า อาณาจักรศรีโคตรบูรหรืออาณาจักรสีโคตรบอง เป็นอาณาจักรที่มีอายุอยู่ในสมัยเดียวกันกับอาณาจักรฟูนัน แห่งกัมพูชาด้วยคำว่าฟูนันในสำเนียงภาษาจีน เรียกว่า “พนม” ในภาษาเขมรโบราณ แปลว่าเมืองแห่งภูเขาและในบริเวณแขวงคำม่วนมีโบราณสถานสมัยก่อนเขมรโบราณอยู่หลายแห่ง ดังนั้นชื่อเมืองท่าแขก เมืองนครพนมก็ดี ล้วนแต่เป็นชื่อที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศอินเดียและอาณาจักรฟูนันทั้งนั้น
ครั้งนั้นพระมหากัสสปะได้ชักชวนพระยาจากเมืองทั้ง ๕ คือ ๑.พระยานันทะเสนเจ้าผู้ครองเมืองสีโคตะบอง อยู่ห่างจากปากเซบั้งไฟไปประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ๒.พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าผู้ครองเมืองหนองหานหลวง (คือสกลนคร) ๓.พระยาคำแดง เจ้าผู้ครองเมืองหนองหานน้อย (กุมภวาปีเป็นอำเภอหนึ่งอยู่ในเขตอุดรธานี) ๔.พระยาอินทปัฐ เจ้าผู้ครองเมืองอินทปัฐถะ (เมืองกัมพูชา) ๕.พระยาจุลณีพรหมทัตเจ้าผู้ครองเมืองปะกัน (คือเมืองเชียงขวาง หรือสิบสองจุไท) ได้พาไพร่พลมาร่วมกันก่อสร้างพระเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระพุทธเจ้าไว้บริเวณที่ดังกล่าว โดยสร้างเป็นพระเจดีย์สูงเพียงชั้นเดียวก่อน
ศิลปกรรมพระธาตุพนม
ในสมัยพระเจ้าสุมินทะราชราชาธิราชแห่งอาณาจักรสีโคตะบอง เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น พระองค์ได้รับคำแนะนำจากพระเถระที่เดินทางมาจากอินเดีย และพระเถระในประเทศของพระองค์เอง พระองค์จึงได้สร้างต่อเติมพระธาตุพนมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
พระธาตุพนม เป็นสถาปัตยกรรมโบราณของศิลปะล้านช้าง ด้วยมีการค้นพบศิลปะรูปเคารพโดยเฉพาะพระพุทธรูปที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ อยู่หลายองค์ในบริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง เป็นหลักฐานสกุลช่างศิลปะสมัยสีโคตะบองที่ท่าลาด และที่บริเวณปากแม่น้ำเหือง ซึ่งอยู่ในพระราชอาณาจักรลาว
องค์พระธาตุพนมแห่งนี้ได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้ง และหลายยุคสมัยปรับเปลี่ยนรูปแบบ จนเป็นพระธาตุพนมองค์ใหม่ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ มียอดพระธาตุพนมซึ่งสูงกว่าเดิม ๑๔ เมตร มีความสูงของพระธาตุพนมทั้งหมดรวมได้ ๕๗ เมตร จนเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๙ น. พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระธาตุ และภัยพิบัติจากการเกิดฝนตกพายุพัดแรงติดต่อกันหลายวันประชาชนได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่สร้างครอบฐานพระธาตุองค์เต็ม โดยรักษารูปแบบเต็มก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในองค์พระธาตุแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้นเดิมนั้นการปรนนิบัติดูแลรักษาองค์พระธาตุพนมเป็นหน้าที่ของชาวเมืองปากเซบั้งไฟ แขวงคำม่วนต่อมาสยามได้ทำนุบำรุงดูแลรักษาพระธาตุพนมต่อเนื่องมาเกือบร้อยปีแล้ว
ด้วยเหตุนี้ชาวลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสยาม ลาว กัมพูชาจึงพากันร่วมงานบุญเฉลิมฉลององค์พระธาตุพนมทุกปีมิได้ขาด ที่สำคัญคือเป็นพระธาตุที่มีเรื่องเล่าเก่าแก่ที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี