ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของทหารเมียนมาในเมียวดีและใกล้เคียงในรัฐกะเหรี่ยง แนวรบด้านตะวันออกติดกับประเทศไทยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นเสถียรภาพของรัฐบาลทหารเมียนมากำลังสั่นคลอน จนถึงขั้นที่รัฐบาลทหารเมียนมา ต้องเกณฑ์ชาวโรฮีนจาไปฝึกทหาร เพื่อให้ช่วยรบกับกลุ่มติดอาวุธ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าว BBC ที่เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการเกณฑ์ชาวโรฮีนจาเข้ารับราชการทหาร ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ BBC รายงานว่า มีชาวโรฮีนจามากกว่า 100 คนถูกเกณฑ์ให้ไปฝึกทหาร ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.พ.ที่ผ่านมา และขู่คุกคามครอบครัวหากไม่ยอมทำตาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารคัดชาวโรฮีนจาอายุน้อยเพื่อภารกิจนี้ โดยได้เข้ารับการฝึกใช้ปืน ใช้อาวุธ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนส่งกลับที่พัก และจากนั้นไม่กี่วันถูกส่งตัวไปรบกับกองกำลังอาระกันที่เมืองระตีด่อง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสิตตเว เมืองเอกรัฐยะไข่
การเผยแพร่บทความนี้เกิดขึ้นราว 1 สัปดาห์ หลังจากสถานีโทรทัศน์ MRTV ของกองทัพเมียนมาเผยแพร่ภาพโดรนที่ถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพเมียนมายิงตกจากน่านฟ้าเหนือกรุงเนปิดอว์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งในจำนวนนี้ 4 ลำ ติดตั้งวัตถุระเบิด โดยสื่อเมียนมาระบุว่า กลุ่มก่อการร้ายต้องการทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญในเมืองหลวง
ขณะที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ระบุว่า ส่งโดรน 28 ลำ พุ่งเป้าโจมตีบ้านพักของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร รวมทั้งฐานทัพสำคัญ โดยแม้จะไม่มีรายงานความเสียหายจากการโจมตี แต่ความเคลื่อนไหวนี้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการรุกคืบของกลุ่มต่อต้านรัฐประหารที่เข้าใกล้ศูนย์กลางของประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว สื่อในเมียนมารายงานว่า สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNU ระบุว่าควบคุมฐานที่มั่นทางทหารในเมียวดีได้แล้ว หลังทหารกองทัพเมียนมายอมจำนนกว่า 500 นาย พร้อมเผยภาพอาวุธที่ตรวจยึดได้ ประกอบด้วยอาวุธหนักกว่า 100 ชิ้น พร้อมยานพาหนะทหาร
อีกทั้งล่าสุด กองกำลังกะเหรี่ยง KNLA สหภาพกะเหรี่ยงKNU และกองกำลัง PDF ยังสามารถยึดค่ายผาซอง กองพันทหารราบที่ 275 ของกองทัพเมียนมาได้แล้วเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (10 เม.ย.) หลังจาก KNU และกองกำลังพันธมิตร เข้าโจมตีฐานตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อนหน้านั้น
เว็บไซต์ข่าว Fox News ของสหรัฐฯ รายงานสถานการณ์ที่กลุ่มติดอาวุธในรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองชายแดนสำคัญที่ติดกับไทยพร้อมระบุว่า ทหารและข้าราชการฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมากำลังละทิ้งฐานที่มั่น และพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หลาย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ยอมรับว่ากองทัพกำลังเผชิญแรงกดดัน
สถานการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนชาวเมียนมาจำนวนมากในฝั่งเมืองเมียวดี เข้าแถวยาวเหยียดหวังเดินทางเข้าไทย ผ่านด่านแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อหนีการสู้รบระหว่างทหารกองทัพเมียนมากับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ขณะที่ฝั่งไทยมีทหารเฝ้าตรึงพื้นที่อย่างเข้มงวด และคอยตรวจสัมภาระผู้เดินทางเข้ามา
มีรายงานว่าจำนวนชาวเมียนมาที่ขอข้ามแดนชั่วคราวผ่านด่านพรมแดนแม่สอด เมื่อวันพุธ (10 เม.ย.) อยู่ที่กว่า 4,000 คน เพิ่มจากช่วงเวลาปกติที่มีวันละ 1,000-2,000 คน จนทางการในพื้นที่เตรียมเสริมเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะมีคนเข้าเมืองเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นอกจากนี้กองทัพไทยยังได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยตามแนวพรมแดนด้วย
ด้านเครือข่ายสนับสนุนสันติภาพกะเหรี่ยงที่เป็นกลุ่มภาคประชาสังคม เผยว่า การสู้รบรอบล่าสุดระหว่างกองกำลังฝ่ายต่อต้านกับกองทัพเมียนมา ทำให้มีคนพลัดถิ่นแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 คน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ Nikkei Asia เป็นสื่อหนึ่งที่ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ ประเมินว่ากองทัพเมียนมากำลังเผชิญสถานการณ์น่าอับอาย สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวรวมถึงการขอนำเครื่องบินมาลงที่ฝั่งแม่สอด โดยบทความของ NikkeiAsia เผยข้อมูลการสัมภาษณ์แหล่งข่าวภายใน KNU ซึ่งระบุว่าวิตกเกี่ยวกับการค้าชายแดนกับไทยและหวังว่าจะสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว เพื่อให้การค้าดำเนินต่อไปได้ ซึ่งนี่เป็นแผนการส่วนหนึ่งของการยึดคืนดินแดนที่รัฐบาลทหารเมียนมาปกครอง เพื่อคืนประเทศให้ประชาชน
ท่ามกลางปัญหาในรัฐกะเหรี่ยง ความไม่มั่นคงและการเพลี่ยงพล้ำให้กลุ่มกบฏต่างๆ หลายพื้นที่ในเมียนมาตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้ นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจโดยกองทัพเมียนมา
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี