บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ ความรู้สึกต่อต้านไทยในกัมพูชา

บทความพิเศษ : ‘รู้เขา รู้เขมร’ ความรู้สึกต่อต้านไทยในกัมพูชา

วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.30 น.

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีความซับซ้อนและยาวนาน โดยเป็นทั้งเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนาพุทธร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในความทรงจำของผู้คน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ต้องมองย้อนกลับไปในอดีต ตั้งแต่ยุคจักรวรรดิขอมอันยิ่งใหญ่สู่การเป็นรัฐชาติสมัยใหม่     การที่คนกัมพูชาส่วนหนึ่งไม่ชอบคนไทย จนมีการต่อต้านการใช้สินค้าและบริการของไทยเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่ควรวิเคราะห์สาเหตุ และ หาวิธีป้องกันแก้ไขโดยด่วน

ปัจจัยความขัดแย้ง: จากอดีตสู่ปัจจุบัน


ความรู้สึก "ไม่ชอบไทย" หรือความรู้สึกเชิงลบที่มีต่อประเทศไทยของชาวกัมพูชาบางส่วนมีรากฐานมาจากหลายปัจจัย:

1.ประวัติศาสตร์การรุกราน: การที่สยามเคยยกทัพไปโจมตีและเข้ายึดครองดินแดนกัมพูชาหลายครั้งในอดีต เช่นการที่ขุนหลวงพะงั่วยกทัพไปตีเมืองยโสธรปุระ เมื่อ พ.ศ. 1912  เจ้าสามพระยายกทัพไปตีเมืองนครธม เมื่อ พ.ศ. 1974 จนต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองปาสาน   ปราสาทนครวัดนครธมถูกทิ้งร้างกว่า 500 ปี   สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีกรุงละแวกเมื่อ พ.ศ. 2130 ทำให้กรุงกัมพูชาตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา จน ถึงสมัยรัชกาลที่ 3   แห่งกรุงรัตนโกสินทร์    และการยึดครองเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ  ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์เหล่านี้ถูกนำมาเล่าขานในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาในลักษณะที่สร้างความรู้สึกเชิงลบต่อไทย

2.ปัญหาพรมแดน: ความขัดแย้งในยุคหลังคือกรณี เขาพระวิหาร ที่มีต้นกำเนิดมาจากสนธิสัญญา ฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2450 ซึ่งเป็นข้อพิพาทด้านอธิปไตยเหนือตัวปราสาทและพื้นที่โดยรอบ แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จะมีคำตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2505  และได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกใน พ.ศ. 2550  แต่ความไม่ชัดเจนของเขตแดนโดยรอบก็ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างสองประเทศอยู่เสมอ จนมีการปะทะกันด้วยกำลังทหารในพ.ศ. 2551 , 2554  และ 2568   นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งยังไม่สามารถตกลงกันได้

3.ปัญหาทางวัฒนธรรมและชาตินิยม: ในบางครั้งประเด็นทางวัฒนธรรมได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปลุกระดมกระแสชาตินิยม เช่น การกล่าวอ้างสิทธิ์ว่ามวยไทยและโขนมีต้นกำเนิดมาจากกัมพูชา  คนกัมพูชาบางส่วนเชื่อว่า ไทยได้ “ขโมย” มรดกทางวัฒนธรรม เช่น ภาษา นาฏศิลป์ และสถาปัตยกรรมไปจากกัมพูชา ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนไทยและนำไปสู่การตอบโต้ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่รุนแรง

4.ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: ประเทศไทยมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจมากกว่ากัมพูชาในหลายด้าน ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดนจำนวนมาก แรงงานกัมพูชาจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทำงานในไทยอาจเผชิญกับการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลต่อความรู้สึกที่มีต่อคนไทย   คนกัมพูชาบางส่วนมองว่าไทยเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์มากกว่าการช่วยเหลือ    ความรู้สึกว่าไทย "เอาเปรียบ" หรือ "ดูถูก" กัมพูชาในเชิงเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความไม่พอใจในระดับประชาชน

5.ข่าวลือ   เหตุจลาจลเผาสถานทูตไทยใน พ.ศ. 2546: เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความรู้สึกต่อต้านที่รุนแรง โดยมีสาเหตุมาจากรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ที่ผิดพลาดว่า น.ส.สุวนันท์ คงยิ่ง ดารานักแสดงชาวไทยกล่าวว่า  “ปราสาทนครวัดเป็นของไทย” (ซึ่งไม่เป็นความจริง )    นำไปสู่การประท้วงและการเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยสามารถจุดชนวนความขัดแย้งที่รุนแรงได้ หากมีรากฐานความไม่พอใจเดิมอยู่แล้ว

6.สื่อและการปลุกกระแสชาตินิยม   สื่อทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการปลุกกระแสชาตินิยม โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดแย้ง   สื่อกัมพูชามักนำเสนอภาพไทยในฐานะ "ผู้รุกราน" หรือ "ผู้แย่งชิงวัฒนธรรม"    ขณะที่สื่อไทยมักมองกัมพูชาในฐานะ "ประเทศที่อ่อนแอ" หรือ "พึ่งพาไทย" ซึ่งสร้างความรู้สึกดูถูกในสายตาคนกัมพูชา

7.การที่คนไทยเรียกคนและประเทศกัมพูชาว่า “เขมร” ซึ่งคนกัมพูชาส่วนหนึ่งไม่ชอบ   เห็นว่าเป็นคำดูถูกเรียกทาสหรือคนรับใช้   คล้ายกับที่คนจีนไม่ของให้ถูกเรียกว่า “เจ๊ก”  โดยต้องการให้เรียกว่า  คนขแมร์ หรือ คนกัมพูชา

8.การที่คนกัมพูชาบางคน เข้าใจว่า ไทยรุกรานแย่งชิงดินแดนกัมพูชาที่ ปราสาทตาเมือนธม  ปราสาทตาควาย  ช่องบก และบ้านหนองจาน

การฟื้นฟูความสัมพันธ์: มิตรภาพและความร่วมมือ

แม้จะมีบาดแผลในประวัติศาสตร์และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลของทั้งสองประเทศก็พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี

1.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ :  การค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของกัมพูชา การลงทุนของภาคเอกชนไทยในกัมพูชามีมากขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการเกษตร

2.การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม :  มีการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนักศึกษา ศิลปิน และนักวิชาการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในระดับประชาชน นอกจากนี้ยังมีโครงการความร่วมมือในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น การบูรณะโบราณสถาน

3.ความสัมพันธ์ทางการทูต :  เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอเพื่อหารือและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านต่างๆ ทั้งด้านการค้า การท่องเที่ยว และความมั่นคงชายแดน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะจัดการกับความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

สรุป

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งมิตรภาพและความขัดแย้งที่ฝังรากอยู่ในอดีต การทำความเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย การยอมรับในความแตกต่าง และการส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับคือหนทางเดียวที่จะทำให้สองประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนในฐานะประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง

โดย สุริยพงศ์

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top