บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนจีนสมัยกรุงสุโขทัย

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนจีนสมัยกรุงสุโขทัย

วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ชนชาติจีนโบราณที่เป็นชาวฮั่นได้มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรในดินแดนสุวรรณภูมิมาช้านานแล้ว โดยชาวจีนได้มีการติดต่อกับคนในดินแดนอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในทุกวันนี้ตั้งแต่ก่อนช่วงพุทธศักราช 1000 ก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งมีหลักฐานจากจดหมายเหตุของพระและนักบวชชาวจีน โดยเฉพาะหลวงจีนจาวจูกัวซึ่งเดินทางมายังแถบคาบสมุทรอินโดจีนและได้ทำการจดบันทึกจดหมายเหตุไว้ถึงความรุ่งเรืองของบรรดานครในดินแดนซึ่งเชื่อได้ว่าคือดินแดนแหลมทองและบริเวณหมู่เกาะมลายู ในช่วงทศวรรษที่ 1200 ซึ่งด้วยเอกสารฉบับนี้ได้พ้องตรงกับหลักศิลาจารึกของเมืองตันชอว์ที่ปาเล็มบัง ทำให้โลกได้รู้จักกับอาณาจักรโบราณในดินแดนนี้เป็นครั้งแรก ได้แก่ทวาราวดี ล้านนา และ ศรีวิชัย  

กว่า 700 ปีมาแล้วในสมัยที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สมัยพ่อขุนรามคำแหง และพระมหาธรรมราชา ลิไท ได้มีการติดต่อกับอาณาจักรจีน สมัยราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. 1503-1814) ต่อเนื่องจนถึงราชวงศ์หงวน (พ.ศ. 1814-1911)


แม้ว่าในสมัยราชวงศ์ซ้องตอนปลายจะเป็นช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย แต่การค้าขายกับจีนก็มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปลายราชวงศ์หงวนที่อำนาจทางการเมืองของจีนมีความผันผวน การส่งออกสินค้าจากสุโขทัยจึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในช่วงเวลานั้น เครื่องสังคโลก ถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของสุโขทัย

เครื่องสังคโลก หรือเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีเขียวที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชาวต่างชาติเรียกว่า เซลาดอน (Celadon) นั้น ได้รับอิทธิพลจากเครื่องเคลือบของจีนในสมัยราชวงศ์ซ้องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องเทคนิคการเคลือบผิวและรูปแบบการตกแต่ง แต่ช่างฝีมือสุโขทัยก็ได้พัฒนาลวดลายที่เป็นของตนเองขึ้นมา เช่น ลายปลา ลายดอกไม้ และลายสัตว์ต่าง ๆ ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และแม้แต่ในญี่ปุ่น

เมื่อราชวงศ์หมิงขึ้นมามีอำนาจแทนที่ราชวงศ์หยวนใน พ.ศ. 1911 ความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตระหว่างสุโขทัยกับจีนก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ในช่วงนี้มีการแลกเปลี่ยนคณะทูตและสินค้ากันอย่างสม่ำเสมอ สินค้าสำคัญที่สุโขทัยส่งออกไปจีนนอกจากเครื่องสังคโลกแล้ว ยังมีสินค้าเกษตรและวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น พริกไทย งาช้าง และไม้เนื้อหอม ในทางกลับกัน พ่อค้าจีนได้นำ ผ้าไหม คุณภาพดี เครื่องกระเบื้องชั้นสูง และเครื่องทองเหลืองเข้ามาขายในสุโขทัย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของสุโขทัยเติบโตอย่างรวดเร็ว

การค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองไม่ได้นำมาแค่สินค้า แต่ยังนำมาซึ่งการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี จีนได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการผลิตเครื่องเคลือบดินเผาให้กับช่างฝีมือสุโขทัยจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมการผลิตสังคโลกขนาดใหญ่ที่เมืองศรีสัชนาลัย นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น การต่อเรือเดินทะเล เพื่อใช้ในการค้าขาย ซึ่งทำให้สุโขทัยสามารถขยายเส้นทางการค้าของตนเองได้กว้างขวางขึ้น

นอกจากเครื่องมือและเทคโนโลยีแล้ว ความรู้ด้าน การเกษตร ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกแลกเปลี่ยนระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการระบบชลประทานและเทคนิคการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้กับสุโขทัย ทำให้มีสินค้าส่งออกเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรในอาณาจักร

อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่ง การค้าระหว่างกันไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนสินค้า แต่ยังเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสังคโลกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสุโขทัย ผ้าไหมชั้นดีจากจีน การต่อเรือที่ช่วยให้การค้าทางทะเลขยายตัว และองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่ช่วยให้เศรษฐกิจมั่นคง ทุกปัจจัยล้วนส่งผลให้สุโขทัยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนคาบสมุทรอินโดจีนในยุคนั้น

จากนั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในดินแดนแหลมทองกับชนชาติจีนก็เริ่มขึ้น โดยเฉพาะทางด้านการค้าขาย หากเรานับตามที่มีหลักฐานชัดแจ้งว่าวัฒนธรรมของสยามหรือชาวไทยมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรสุโขทัย โดยเริ่มในยุคสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งจะตรงกับยุคปลายของราชวงศ์ซ้องต่อต้นราชวงศ์หยวนของจีน

แต่การติดต่อสัมพันธ์ที่พอจะมีหลักฐานอ้างอิงนั้น เริ่มต้นจากยุคพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งตรงกับตอนต้นของราชวงศ์หยวน อันเป็นสมัยของกุบไลข่าน ซึ่งนับว่าเป็นการติดต่อครั้งแรกระหว่างไทยจีนที่มีบันทึกหลงเหลือเป็นหลักฐานอ้างอิงแน่ชัด

จากบันทึกของจีน แสดงว่าปีพ.ศ.1825 กุบไลข่านได้มีบัญชาให้ส่งทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักร “เสียน” ซึ่งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาจักรเสียนที่ว่านี้เป็นคำเรียกที่ชาวจีนโบราณกล่าวถึงดินแดนของชาวสยาม โดยมีบันทึกว่า

 “ปีที่ 19 ในรัชกาลจื้อหยวน เดือนหก วันจีไฮ่ มีรับสั่งให้นายพลเหอจื่อจื้อ เป็นทูตไปยังสยาม (เสียน)” แต่ปรากฏว่าคณะทูตของจีนชุดนี้มาไม่ถึงสุโขทัย เพราะถูกพวกจามแห่งอาณาจักรจามปาจับตัวในระหว่างเดินทางและประหารชีวิตหมด”

ต่อมา พ่อขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัยได้ส่งคณะทูตไปยังจีนครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 1835 เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี การส่งทูตไปเยือนจีนครานี้ นับเป็นการส่งทูตไปจีนเป็นครั้งแรกที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ และจากนั้นทางสุโขทัยก็ส่งคณะทูตพร้อมบรรณาการไปยังจีนถึง 14 ครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ.1835 ถึง 1865 ในขณะที่จีนส่งทูตมาถึงไทย 4 ครั้ง แต่เดินทางมาถึงโดยปลอดภัย 3 ครั้งเท่านั้น

เป้าหมายของสุโขทัยและจีนในการเจริญไมตรีนั้นนับว่าแตกต่างกัน ดร. สืบแสง พรหมบุญ นักประวัติศาสตร์ ได้สันนิษฐานว่า เหตุที่สุโขทัยส่งทูตและบรรณาการ ยอมนอบน้อมต่อจีนนั้นเพื่อเป้าหมายทางการเมือง โดยเป็นการดำเนินงานทางการทูตเพื่อป้องกันมิให้ จักรพรรดิกุบไลข่านสนับสนุนอาณาจักรอื่นๆในแถบเดียวกันโดยเฉพาะสุพรรณภูมิ ทั้งนี้เพราะอาณาจักรสุพรรณภูมิได้เคยส่งเครื่องบรรณการไปยังจีน ใน พ.ศ. 1834 เพื่อขอความสนับสนุนทางการเมืองด้วย ทางสุโขทัยซึ่งเพิ่งจะเริ่มก่อร่าง ขยายอิทธิพลจึงจำต้องผูกมิตรกับจีนไว้เช่นกัน

ในขณะที่ทางจีนนั้นเพียงต้องการประกาศแสนยานุภาพและการยอมรับจากอาณาจักรโดยรอบ ให้ยอมอ่อนน้อมให้และยกจีนเป็นศูนย์กลางแห่งการปกครอง มีบันทึกบางฉบับว่าทางจีนได้แจ้งให้ พ่อขุนรามคำแหงทำการส่งบรรณาการและเดินทางไปเข้าเฝ้ากุบไลข่าน เพื่อแสดงว่ายินยอมและยอมรับในอำนาจของราชวงศ์หยวน ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมิได้เดินทางเสด็จไปตามที่ได้รับเชิญ เพียงแค่ส่งบรรณาการกลับไปเท่านั้น และทางกุบไลข่านเองก็ไม่ได้ว่ากระไร วิเคราะห์ได้ว่าอาจเพราะทางจีนเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีเช่นนี้ของสุโขทัยมากนัก เนื่องด้วยเป็นสุโขทัยเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยป่าร้อนชื้น สัตว์ป่าชุกชุม ยากแก่การเดินทางและอยู่อาศัย ทางจีนเองจึงอาจเพียงต้องการให้สุโขทัยส่งจิ้มก้องหรือบรรณาการมาให้เพื่อยอมรับสถานะในฐานะผู้ปกครองสูงสุดเท่านั้น ซึ่งน่าสังเกตว่าทุกครั้งที่เกิดการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ทางจีนเองก็จะมีการส่งทูตมาเพื่อให้ชาวสยามส่งบรรณาการเพื่อยอมรับในสถานะนี้ของตนเอง แต่ก็มิได้ใส่ใจนัก หากเชื้อพระวงศ์สยามจะไม่เดินทางไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิจีน ซึ่งความสัมพันธ์ในรูปแบบประนีประนอมนี้ก็ดำเนินมาอย่างยาวนานจนถึงกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ทีเดียว โดยหากเปรียบเทียบกับอาณาจักรโดยรอบอื่นๆเช่นพุกามที่อยู่ใกล้กันแล้ว ท่าทีของจีนนับว่ารุนแรงกว่ามาก

การติดต่อระหว่างสุโขทัยและจีนในช่วงนี้ยังส่งผลให้การค้าระหว่าง อาณาจักรทั้งสองขยายตัว มีการถ่ายทอดความรู้ของจีนมายังไทย ซึ่งส่งผลมากที่สุดคือการที่ช่างจีนได้เข้ามาทำเครื่องปั้นดินเผาจนเป็นที่รู้จักกันในนาม “เครื่องชามสังคโลก” และต่อมาเครื่องสังคโลกก็ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของสุโขทัย

ต่อมาหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหง สุโขทัยก็เริ่มเสื่อมอำนาจ ทำให้อยุธยาซึ่งอยู่ทางตอนใต้เริ่มผงาดขึ้นมา และค่อยๆขยายอิทธิพลจนกระทั่งกลายเป็นศูนย์อำนาจทางการทหารและการปกครองในลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้สำเร็จ ภายใต้การนำของกษัตริย์ในราชวงศ์อู่ทองและสุพรรณภูมิ อันเป็นเวลาเดียวกับทางจีนเองก็เกิดการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ เมื่อชาวจีนสามารถโค่นราชวงศ์หยวนของมองโกลที่ปกครองจีนมาเกือบร้อยปีลง และก่อตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น มีจูหยวนจาง สถาปนาตนเป็นจักรพรรดิ ซึ่งในยุคนี้เองที่ปรากฏชื่อ ”อาณาจักรเสียนหลอ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกอาณาจักรของชาวไทยหรือสยามขึ้นในพงศาวดารจีนเป็นครั้งแรก ในปีพ.ศ.1913 โดยข้อความที่ปรากฏว่า “ปีที่ 3 ในรัชกาลหงหวู่ เดือน 8 มีรับสั่งให้ลู่จงจุ้นกับพวกอัญเชิญพระบรมราชโองการไปยังประเทศเสียนหลอ (สยาม)”

โดย อาทร  จันทวิมล

ขอบคุณภาพจาก www.silpa-mag.com

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top