วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
กรุงศรีอยุธยาในยุครุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญได้ดึงดูดพ่อค้าและผู้คนจากหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรสยาม เช่นอิหร่าน อินเดีย เวียดนาม ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส มีที่จอดเรือใหญ่อยู่ที่หน้าวัดพนัญเชิง โดยมีชาวจีนที่เดินทางข้ามทะเลมายังกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมากทำอาชีพ ช่างเหล็ก เย็บรองเท้า ช่างต่อเรือ ทำน้ำตาล ช่างทอง ในช่วงจวนจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 นั้นพวกชาวจีนในอยุธยา6,000 คน นำโดยเฮียนสือ ได้ใช้ห้างฮอลันดากับวัดไทยพุทธเป็นค่ายต่อสู้พม่า
บันทึกจีนสมัยราชวงศ์ชิง “ชิงสื่อลู่” ระบุว่า เมื่อพ.ศ. 2195 ทูตสยามได้เดินทางทางเรือไปเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง 1 ครั้ง และ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 5 ครั้ง ตามรายงานของบาทหลวงนิโคลาส์ แชร์แวส (Nicholas Gervaise) ชาวฝรั่งเศส ระบุไว้ว่า เมื่อ พ.ศ.2228 กรุงศรีอยุธยามีสำเภาจีนแวะมาทำการค้าขายถึง 15-20 ลำ ในสมัยพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ. 2265 พระเจ้าคังซี ทรงให้ซื้อข้าวสารจากสยาม 3 แสนหาบจีนส่งไปที่ ที่เมืองฝูเจี้ยน กวางตุ้งและหนิงโปเพื่อบรรเทาความอดหยาก สมัยพระเจ้าบรมโกศ ได้มีการส่งทูตอยุธยาไปเฝ้าพระเจ้าเฉียนหลง
การอพยพและการตั้งถิ่นฐาน
ชาวจีนเริ่มเดินทางเข้ามายังดินแดนสยามอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ในสมัยอยุธยาการอพยพของชาวจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากความไม่สงบในจีน ภัยธรรมชาติ และการค้นหาโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพมาเป็นชาวจีนใต้ โดยเฉพาะจากมณฑลฟูเจี้ยน กวางตุ้ง และไห่หนาน ชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา สร้างชุมชนของตนเองขึ้นในบริเวณต่างๆ ของเมือง การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนมีลักษณะเป็นชุมชนที่มีความเหนียวแน่นกันเองตามเครือญาติและภูมิลำเนาเดิม
พวกจีนแต้จิ๋วในกรุงศรีอยุธยามักทำงานรับจ้าง ทำสวน เลี้ยงหมู ฯลฯ อาศัยอยู่แถวตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก ย่านปากคลองข้าวสาร ย่านคลองสวนพลู คลองบ้านบาตร คลองบ้านม้า คลองข้าวเม่า หัวรอ วัดแม่นางปลื้ม วัดสามพิหาร วัดสามจีน วัดเกาะแก้ว วัดเชิงท่า วัดโกโรโกโส (วัดอาโกโรอาโกโส) ส่วนชาวจีนฮกเกี้ยน มักทำงานในราชสำนักหรือใกล้ชิดกับชนชั้นนำ ที่บริเวณเกาะเมือง หรือภายในกำแพงเมือง เช่น
6 สถานที่ในกรุงศรีอยุธยาที่มีชุมชนชาวจีนหนาแน่นคือ
1. คลองประตูนายก่าย คลองประตูจีน ท่าเรือชื่อท่าหอย เป็นชุมชนใหญ่ของพวกฮกเกี้ยน มีตลาดจีนใหญ่โต มีร้านค้าจีนมากตามสองฝั่งคลอง
2. ชุมชนสามม้า ตำบลสาระภา ขายเครื่องลายคราม ผ้าไหม เครื่องทอง ยาจีน
3. ย่านขนมจีน ขายขนมเปี๊ยะ ขนมโก๋ ขนมถั่วตัด ฟักเชื่อม
4. ตลาดปากคลองขุนละคอนไชย มีตลาดบ้านจีน โรงโสเภณี ศาลเจ้าจีน
5. บริเวณเจ้าสัวชี วัดเหมี่ยวลา วัดท่าราบ เป็นห้องแถว 2 ชั้น (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนสตรีวัดพุทธไธสวรรย์)
6. บริเวณตลาดน้ำ มักอยู่เป็นเรือนแพ ตลาดน้ำวน บางกะจะ (ตรงข้ามวัดพนัญเชิง) ตลาดปากคลองคูจาม ท้ายสุเหร่าแขก ตลาดปากคลองคูไม้ร้อง ตลาดปากคลองวัดเดิม ศาลเจ้า บุนเถากง
ชาวจีนบางส่วนรับราชการในกรมท่าซ้าย เช่น พระยาโชฏึกราชเศรษฐี และ โกษาธิบดีจีน (ออกญาสมบัติธิบาล) ทำหน้าที่ควบคุมชาวจีน และการค้ากับจีน
บทบาททางเศรษฐกิจ
ชาวจีนในกรุงศรีอยุธยามีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาณาจักร ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าขายระหว่างสยามกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการค้ากับจีน เวียดนาม และญี่ปุ่น ชาวจีนมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจ การจัดการเงินตรา นอกจากการค้าขายแล้ว ชาวจีนยังประกอบอาชีพฝีมือต่างๆ เช่น ช่างทำเครื่องปั้นดินเผา ช่างทอง ช่างเงิน ช่างไม้ และงานหัตถกรรมอื่นๆ ทักษะฝีมือของชาวจีนได้รับการยอมรับและเป็นที่ต้องการของชาวสยาม
การเก็บภาษีและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสยามยังพึ่พิงชาวจีนเป็นอย่างมาก ระบบ "ภาษีเหมา" หรือการให้เอกชนเป็นผู้จัดเก็บภาษีแทนรัฐได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และชาวจีนมักเป็นผู้รับเหมาเก็บภาษีในหลายๆ ด้าน เช่น ภาษีการค้า ภาษีเสรีภาพ และภาษีอื่นๆ
โครงสร้างทางสังคม
สังคมชาวจีนในกรุงศรีอยุธยามีโครงสร้างที่ชัดเจนตามแบบแผนจีนดั้งเดิม ครอบครัวขยายเป็นหน่วยสังคมพื้นฐาน โดยผู้สูงอายุและหัวหน้าครอบครัวมีอำนาจและความเคารพสูงสุด ระบบเครือญาติและตระกูลมีความสำคัญมาก ในการดำเนินธุรกิจและการสร้างเครือข่ายทางสังคม
ชาวจีนในอยุธยายังคงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมจีนไว้อย่างเข้มงวด การปฏิบัติตามหลักกตัญญู การเคารพบรรพบุรุษ และการรักษาภาษาจีนเป็นสิ่งที่ชาวจีนยึดถือ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทยและมีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
การแต่งงานระหว่างชาวจีนกับคนไทยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการที่ชายจีนแต่งงานกับหญิงไทย ลูกหลานที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างสองเชื้อชาติมักเรียกว่า "ลูกครึ่ง" หรือ "ลูกจีน" กลุ่มคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนจีนและไทย
วัฒนธรรมและศาสนา
ชาวจีนในกรุงศรีอยุธยานำวัฒนธรรมและความเชื่อของตนมาด้วย พุทธศาสนานิกายมหายาน เต๋า และขงจื้อเป็นศาสนาและปรัชญาหลักที่ชาวจีนยึดถือ วัดและศาลเจ้าจีนถูกสร้างขึ้นในกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นศูนย์กลางทางจิตใจและการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ความสัมพันธ์กับราชสำนัก
ชาวจีนหลายคนในกรุงศรีอยุธยาสามารถเข้าถึงราชสำนักและมีอิทธิพลในการบริหารประเทศ ความชำนาญด้านการค้าและการเงินของชาวจีนทำให้พระมหากษัตริย์สยามให้ความไว้วางใจและมอบหมายงานสำคัญให้กับพวกเขา ชาวจีนบางคนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
ผลกระทบต่อสังคมไทย
การอยู่อาศัยของชาวจีนในกรุงศรีอยุธยาได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสังคมไทย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในด้านบวก ชาวจีนได้นำเทคนิคการผลิต ความรู้ด้านการค้า และนวัตกรรมต่างๆ มาเผยแพร่ การพัฒนาระบบการเงิน การธนาคาร และการจัดการธุรกิจยุคใหม่ล้วนได้รับอิทธิพลจากชาวจีน
มรดกและอิทธิพลต่อเนื่อง
เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปี พ.ศ. 2310 ชาวจีนหลายคนได้อพยพไปยังกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ แต่มรดกและอิทธิพลของชาวจีนในสมัยอยุธยายังคงหลงเหลืออยู่ในสังคมไทย รูปแบบการค้าขาย ระบบการเงิน และการจัดการธุรกิจแบบจีนกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยในยุคต่อมา
ชุมชนไทยเชื้อสายจีนในปัจจุบันเป็นผลต่อเนื่องจากการตั้งถิ่นฐานและการผสมผสานที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา วัฒนธรรม ประเพณี และค่านิยมที่ชาวจีนนำมาได้ถูกรักษาและพัฒนาต่อเนื่องกันมา
การศึกษาประวัติศาสตร์ของชาวจีนในกรุงศรีอยุธยาช่วยให้เราเข้าใจถึงลักษณะของสังคมพหุวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการสร้างสังคมที่มีความหลากหลายและการยอมรับซึ่งกันและกันในปัจจุบัน
โดย อาทร จันทวิมล
ขอบคุณภาพจาก www.silpa-mag.com , go ayutthaya
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี