วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ประวัติศาสตร์จีนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ย (夏 ) (ราว 2,500 ปีก่อนพุทธกาล) ถึงราชวงศ์ฮั่น (漢) ( พ.ศ. 337-763)เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ของจีน ในระยะเวลากว่าสามพันปีนี้ จีนมีการหล่อหลอมจากสังคมเผ่าพันธุ์จนกลายเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของโลก
ราชวงศ์เซี่ย : จุดเริ่มต้นของตำนานประวัติศาสตร์จีน (ราว 1500-1000 ปีก่อนพ.ศ.)
ราชวงศ์เซี่ย (Xia Dynasty 夏朝) (ราว 4,000 ปี มาแล้ว หรือ 1500-1000 ปี ก่อนพุทธกาลหรือ 2070 - 1600 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชวงศ์แรกของจีน ในช่วงยุคหินใหม่ต่อกับยุคโลหะสำริด ใกล้เคียงกับสมัยบ้านเชียงยุคต้นของไทย(ราว 5,000-3,000 ปีมาแล้ว) โดยมีอายุอยู่ได้ราว 500 ปี ขณะนั้นจีนยังไม่มีระบบการเขียนอักษรและ การจดบันทึกชัดเจน เชื่อกันว่า แหล่งโบราณคดีเอ้อร์หลี่โถว (Erlitou 二里头文化) วัฒนธรรมหลงซาน (龙山文化) ในมณฑลเหอหนาน น่าจะเป็นแหล่งอารยธรรมเซี่ย
คนจีน ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน สมัยก่อนราชวงศ์เซี่ย คือวัฒนธรรมหลงชาน (Longshan) และหยางเส่า (Yangshao) มีชนเผ่าเล็กๆกระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำแยงซีและ ฮวงโห (แม่น้ำเหลือง) สร้างที่พักด้วยดินหรือไม้ ทำมาหากินด้วยการ ปลูกข้าว ข้าวฟ่าง เลี้ยงหมู วัว แกะ ไก่ ล่าสัตว์ป่า มีความสามารถในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างชุมชน ราชวงศ์เซี่ยถือเป็นราชวงศ์แรกในประวัติศาสตร์จีนตามตำนาน แม้ว่าหลักฐานทางโบราณคดียังไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน แต่เล่ากันว่าพระเจ้า ต้าอวี่ หรือ เซี่ยหวี่ (禹帝) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์นี้เป็นวีรบุรุษที่สามารถรวมชนเผ่าและควบคุมน้ำท่วมใหญ่แก่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) โดยไม่ใช้วิธีสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ประสบความล้มเหลวมาก่อน แต่ใช้วิธีขุดคลองระบายน้ำที่ท่วมลงทะเล โดยขณะนั้นยังไม่มีจอบเสียมสำหรับขุดดินที่ทำจากเหล็กหรือโลหะ ต้องใช้เครื่องมือที่ทำจากไม้ หิน ดินเผา หรือเปลือกหอย ราชวงศ์เซี่ยสถาปนาแนวคิด หรือ "พระราชอำนาจที่มาจากสวรรค์"(天命 เทียนมิ่ง) ซึ่งเป็นปรัชญาที่ว่าผู้ปกครองได้รับอำนาจจากสวรรค์มาปกครองแผ่นดิน ที่สืบทอดอำนาจโดยสายโลหิต ตอนปลายราชวงศ์เซี่ย เมื่อราว2,200 ปีก่อนพุทธกาล เกิดข้อขัดแย้งทางชนชั้น มีการต่อสู้รบพุ่งกัน แล้วกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ยพ่ายแพ้แก่พวกราชวงศ์ซาง ทำให้ราชวงศ์เซี่ยถึงกาลอวสาน เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนพ.ศ.
ราชวงศ์ซาง(商朝Shang): ยุคแรกของหลักฐานประวัติศาสตร์จีน (ราว 1,000 ปี-500 ปีก่อนพ.ศ.)
ราชวงศ์ซางหรือชาง (商朝; Shang Dynasty)ประมาณ 1,000-500 ปีก่อนพุทธกาล หรือ 1600-1046 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชวงศ์จีนแรกที่มีหลักฐานทางโบราณคดีชัดเจน มีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำเหลืองทางตอนเหนือของจีน การค้นพบซากปรักหักพังในเมืองอันหยาง (安陽) มณฑลเหอหนาน มีความก้าวหน้าในการหล่อโลหะสำริด ทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับหยก พัฒนาปฏิทิน มีการเริ่มเขียนอักษรจีน โดยมีหลักฐาน การขุดค้นพบกระดูกเต่าและกระดูกวัว ที่มีลายอักษรจีนโบราณจารึกไว้ ใช้เปลือกหอยเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ราชวงศ์ซางมีระบบการปกครองแบบกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง สังคมถูกแบ่งเป็นชนชั้นกษัตริย์ ขุนนาง ทหาร ช่างฝีมือ และชาวนา และเป็นสังคมที่เชื่อในเรื่องของบรรพบุรุษและการบูชายัญ กษัตริย์ของซางถือเป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า และมีอำนาจในการทำพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ ราชวงศ์ชางสิ้นสุดเมื่อราว 1589 ปีก่อนพุทธกาล (1046 ปีก่อนคริสต์กาล) เมื่อถูกราชวงศ์โจวเข้ายึดครอง
ราชวงศ์โจว : (周朝 Zhou Dynasty) ( 503ปีก่อนพุทธกาล-พ.ศ.287 (1046–256 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นราชวงศ์ที่ปกครองจีนยาวนานถึง 867 ปี มีการพัฒนาระบบศักดินา โดยพระมหากษัตริย์แจกจ่ายที่ดินให้กับขุนนางและเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ระบบนี้ช่วยขยายอิทธิพลของโจวไปยังดินแดนกว้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาเมื่อเจ้าของดินแดนต่างๆ เริ่มมีอำนาจมากขึ้นจนท้าทายอำนาจส่วนกลาง
ในช่วงราชวงศ์โจวได้เกิดบุคคลสำคัญหลายคน เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ ซุนหวู
ขงจื๊อ (孔子Confucius 8ปีก่อนพุทธกาล - พ.ศ. 64 หรือ 551-479 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นปรัชญาเมธีชาวจีนที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนมากที่สุด ขงจื๊อเน้นการศึกษา คุณธรรม และความสัมพันธ์ทางสังคมที่เหมาะสม หลักการสำคัญในคำสอนของขงจื๊อ การพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมและความรู้ โดยมีหลักสำคัญคือ เหริน (仁 - Rén): ความมีมนุษยธรรม ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นให้ตั้งตัวได้และประสบความสำเร็จ อี้ (義 - Yì): ความยุติธรรม ความถูกต้องชอบธรรม การตัดสินใจตามมโนธรรม หลี่ (禮 - Lǐ): ระบบจารีตประเพณี ข้อปฏิบัติที่เหมาะสมในการเข้าสังคม จือ (智 - Zhì): ความรู้ ความสามารถในการคิดพิจารณาและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ซิ่น (信 - Xìn): ความซื่อสัตย์สุจริต ความน่าเชื่อถือในคำพูดและการกระทำ ขงจื๊อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต การคิดควบคู่กับการเรียน การรู้จริง การเห็นคุณค่าผู้อื่น และการปฏิบัติตนตามหลัก " ถ้าไม่ต้องการ สิ่งใด ก็อย่ากระทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น" (己所不欲,勿施于人) ให้ใช้ความเมตตากรุณา ความกตัญญู คุณธรรมมากกว่าความเก่ง และการเคารพผู้อื่น
เล่าจื๊อ (老子) เป็นปรัชญาเมธีชาวจีนที่ถือเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า (道教) ผลงานที่ประจักษ์ชัดคือ "เต๋าเต๋อจิง" (道德經) หรือ "ลี่จื๊อ" ซึ่งเป็นหนังสือปรัชญาที่มีอิทธิพลอย่างมาก หลักการพื้นฐานของลัทธิเต๋าคือ "ทาง" ซึ่งหมายถึงหลักธรรมชาติและความสมดุลของจักรวาล เล่าจื๊อเน้นการ "อู่เหว่ย" (無為) หรือการไม่แทรกแซงธรรมชาติ การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และการคืนกลับสู่สภาพดั้งเดิม
แนวคิดของเล่าจื๊อแตกต่างจากขงจื๊อตรงที่เล่าจื๊อไม่เน้นพิธีกรรมและกฎเกณฑ์ทางสังคม แต่เน้นการปล่อยวางและการปรับตัวตามธรรมชาติ
ซุนหวู (孫子) เป็นนักยุทธศาสตร์ชาวจีน ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ซุนจื๊อปิงฟ่า" (孫子兵法) หรือ "ตำราพิชัยสงครามซุนหวู" หลักการสำคัญของซุนหวู ได้แก่ การรู้จักตัวเองและศัตรู การใช้กลยุทธ์มากกว่าการใช้กำลัง การหลีกเลี่ยงการทำสงครามหากเป็นไปได้ และการชนะโดยไม่ต้องรบ คำกล่าวที่มีชื่อเสียงของเขาคือ "ถ้ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งจะชนะร้อยครั้ง ถ้ารู้แต่เราไม่รู้เขา รบร้อยครั้งชนะห้าสิบครั้ง ถ้ารู้แต่เขาไม่รู้เรา รบร้อยครั้งจะแพ้ห้าสิบครั้ง แต่ถ้าไม่รู้เขาไม่รู้เรา รบร้อยครั้งก็แพ้ทั้งร้อยครั้ง (知彼知己,百戰不殆) หลักการของซุนหวูไม่เพียงแต่ใช้ในด้านการทหาร แต่ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ การเจรจา และการบริหารจัดการในยุคปัจจุบัน
ราชวงศ์จิ้น หรือจิ๋น หรือฉิน (晉朝 Qin Dynasty) พ.ศ. 322-337 (221-206 ปีก่อนคริสตกาล)
จิ๋นซีฮ่องเต้ (秦始皇帝) จักรพรรดิพระองค์แรกของจีน สามารถรวมแผ่นดินจีนให้เป็นจักรวรรดิเดียวเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะครองอำนาจในช่วงสั้น เพียง 15 ปี แต่ก็ได้ทำการปฏิรูปครั้งใหญ่ กำหนดมาตรฐานการชั่งตวงวัด การเขียนอักษร เริ่มใช้เหรียญกษาปณ์ สร้างถนนและสร้างกำแพงเมืองจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ได้เผาหนังสือโบราณและสังหารนักปราชญ์ เพื่อกำจัดแนวคิดที่ขัดแย้งกับการปกครองของพระองค์ การกระทำนี้ทำลายมรดกทางปัญญาจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว หลังจากที่จิ๊นซีฮ่องเต้สวรรคต ในปี 210 ก่อนคริสตกาล ได้มีการสร้างสุสานขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ซึ่งมีกองทัพทหารดินเผา (Terra-Cotta Army) จำนวนมากเป็นผู้พิทักษ์ ต่อจากนั้นระบบอำนาจของราชวงศ์จิ๋นก็อ่อนแอลง และล่มสลายจากการก่อกบฏของชาวนาในปี พ.ศ. 337 แล้วถูกแทนที่ด้วยราชวงศ์ฮั่น
ราชวงศ์ฮั่น (Han dynasty 漢朝 ) พ.ศ.337-763 หรือ 206 ปีก่อนคริสตกาล- ค.ศ. 220)
หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้สวรรคต เมื่อ พ.ศ. 337 ราชวงศ์จิ๋นล่มสลายด้วยการจลาจลภายใน หลิวปั่ง (劉邦) เอาชนะคู่แข่งขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิจีน ฮั่นโจโก (漢太祖) และก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้น ฮั่นโจโกเป็นชาวบ้านธรรมดาที่สามารถขึ้นมาเป็นจักรพรรดิได้ด้วยความสามารถและโชคชะตา เขาเป็นตัวอย่างของแนวคิดที่ว่าผู้มีคุณธรรมสามารถได้รับการสนับสนุนจากสวรรค์ ฮั่นอู่ตี้ (漢武帝), (พ.ศ. 387-456) เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ฮั่น ขยายดินแดนของจีนไปยังทางตะวันตกผ่านเส้นทางสายไหม สร้างระบบราชการแบบคัดเลือกด้วยการสอบ และสนับสนุนปรัชญาขงจื๊อให้เป็นปรัชญาอย่างเป็นทางการ การปฏิรูปของฮั่นอู่ตี้รวมถึงการสร้าง "มหาวิทยาลัย" เพื่อฝึกข้าราชการ การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการสร้างระบบกฎหมายที่เป็นระบบ
คำว่า "ฮั่น" (漢) กลายเป็นชื่อเรียกชนชาติจีนส่วนใหญ่ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์นี้
รัชสมัยพระเจ้าหลิงตี้ เกิดกบฏโพกผ้าเหลืองทางภาคเหนือนำโดยเตียวก๊ก เข้าล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก บรรดาเจ้าที่ดินที่มีกำลังกล้าแข็งต่างก็ฉกฉวยโอกาสนี้พากันตั้งตนเป็นใหญ่ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ จนท้ายสุดหลงเหลือเพียง 3 กลุ่มอำนาจใหญ่นั่นคือ เว่ย สู่ และ อู๋ หรือที่รู้จักกันในนามของ "สามก๊ก"
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการคิดประดิษฐ์เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว และวัดแผ่นดินไหว ปรับปรุงวิธีผลิตกระดาษ อาณาจักรจีนได้ขยายออกไปถึงแมนจูเรีย เกาหลีเหนือ กวางตุ้ง กวางสี และเวียดนามตอนเหนือ
พ.ศ.763 (ค.ศ. 220) ในช่วงปลายราขวงศ์ฮั่นตะวันออกซึ่งเป็นช่วงสมัยยุคสามก๊ก พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงถูกบังคับให้สละพระราชบัลลังก์ แผ่นดินจีนถูกแบ่งเป็นสามก๊ก (Three Kingdoms 三国) คือ วุยก๊ก นำโดย โจโฉ ง่อก๊กนำโดยซุนกวน และจ๊กก๊ก นำโดยเล่าปี่
โดย อาทร จันทวิมล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี