บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ สามก๊ก : เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์จีนหลังราชวงศ์ฮั่น

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ สามก๊ก : เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์จีนหลังราชวงศ์ฮั่น

วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“สามก๊ก” (The Three Kingdoms, 三国) เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 60 ปี (พ.ศ. 763–823 / ค.ศ. 220–280) หรือราว 1,000 ปีก่อนตั้งกรุงสุโขทัย  ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประวัติศาสตร์จีน หลังจากราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเสื่อมอำนาจลง แผ่นดินจีนแตกออกเป็นสามอาณาจักรหลัก ได้แก่:

• วุยก๊ก ของโจโฉ (ปกครองทางเหนือ มีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองฮุยโต๋)


• จ๊กก๊ก ของเล่าปี่ (ตั้งมั่นทางตะวันตกเฉียงใต้  ฐานที่มั่นอยู่ที่มณฑลเสฉวน)

• ง่อก๊ก ของซุนกวน (ปกครองทางตะวันออกเฉียงใต้ ติดทะเล มีกองทัพเรือเข้มแข็ง มีเมืองกังตั๋งเป็นเมืองสำคัญ)

การช่วงชิงอำนาจระหว่างผู้นำทั้งสามกลายเป็นมหากาพย์ที่เล่าขานกันมานับพันปี และต่อมาได้ถูกเรียบเรียงเป็นวรรณกรรมชื่อ “สามก๊ก” โดยหลอกว้านจงในสมัยราชวงศ์หมิง  แปลเป็นภาษาไทย โดย  เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

จุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวาย

ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น (ราว พ.ศ. 701 / ค.ศ. 158) สมัยพระเจ้าเลนเต้ เมืองหลวงลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง) ตกอยู่ใต้อำนาจของขุนนางขันที 10 คนที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวนาในนาม “โจรโพกผ้าเหลือง” ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ โรคระบาด และความอยุติธรรม แม้กบฏจะถูกปราบปราม แต่เหตุการณ์นี้ทำให้อำนาจของราชสำนักอ่อนแอลง เปิดทางให้ขุนศึกและข้าราชการท้องถิ่นขึ้นมามีอำนาจ

พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น แต่เป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมือง ผู้ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในช่วงแรกคือ ตั๋งโต๊ะ ต่อมาก็เป็นโจโฉ

โจโฉ ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางภาคเหนือของจีน และได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ จนสามารถใช้อำนาจในนามราชสำนักฮั่นได้อย่างชอบธรรม

เล่าปี่ แห่งจ๊กก๊ก เป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น มีความตั้งใจจะฟื้นฟูราชวงศ์ เขาสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับ กวนอู และ เตียวหุย สองยอดนักรบผู้ภักดี และต่อมาได้ ขงเบ้ง (จูกัดเหลียง) นักยุทธศาสตร์อัจฉริยะมาเป็นที่ปรึกษา ทำให้กองทัพของเขาแข็งแกร่งทั้งด้านกำลังใจและกลยุทธ์ โดยใช้เมืองเกงจิ๋วเป็นฐานที่มั่นสำคัญ

เหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์จีนคือ ศึกผาแดง (โจโฉแตกทัพเรือ  หรือยุทธการเช็กเพ็ก ) ในปี พ.ศ. 751 / ค.ศ. 208 หลังจากโจโฉปราบปรามทางเหนือสำเร็จ เขามุ่งลงใต้เพื่อรวมแผ่นดินจีน และสามารถยึดเมืองเกงจิ๋วได้  แต่เมื่อกองทัพเรือขนาดใหญ่ของโจโฉเข้าประชิดแม่น้ำแยงซีเกียง ก็ถูกโจมตีโดยพันธมิตรของ ซุนกวน และ เล่าปี่ ด้วยแผนการเผาทัพเรือที่ผูกติดกันไว้ ทหารบกของโจโฉซึ่งไม่ชำนาญการรบทางน้ำและเมาคลื่น ถูกตีแตกพ่ายอย่างราบคาบ

ยุทธการ "ยืมลูกเกาทัณฑ์ด้วยเรือฟาง" (草船借箭) เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ จิวยี่ (จูหยู) จากง่อก๊ก ต้องการทดสอบและกำจัด ขงเบ้ง (จูกัดเหลียง) จาก     จ๊กก๊ก ที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อต่อต้านโจโฉ  โดยขงเบ้งให้เตรียมเรือราว 20 ลำผูกหุ่นฟาง  แล้วแล่นผ่านกองทัพของโจโฉขณะหมอกลงจัด  ทหารโจโฉคิดว่าจะถูกโจมตีจึงยิงลูกธนูจำนวนมากไปติดที่หุ่นฟาง  ทำให้ขงเบ้งได้ลูกธนูจำนวนมากโดยไม่ต้องผลิตเอง

ยุทธการตีขิมบนกำแพง    เกิดขึ้นในช่วงที่ขงเบ้งกำลังยกทัพจ๊กก๊ก บุกวุยก๊กทางภาคเหนือ แต่ทัพหน้าของจ๊กก๊กต้องพ่ายแพ้และถูกตัดขาด ทำให้ ขงเบ้งต้องรีบถอนทัพ และนำทหารที่เหลือเพียงน้อยนิดเข้าเมืองเสเสีย (ซีเฉิง)    ในขณะนั้นเอง สุมาอี้ แม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก ผู้เป็นคู่ปรับของขงเบ้ง ก็ยกกองทัพติดตามมา ขงเบ้ง ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านกองทัพอันยิ่งใหญ่ของสุมาอี้ได้เลย สถานการณ์บีบคั้นถึงขีดสุด เป็นทางตันที่แทบจะไม่มีทางออก

เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤต ขงเบ้งกลับแสดงความเยือกเย็นอย่างน่าอัศจรรย์ เขาไม่ได้สั่งให้เตรียมการรบ หรือแม้แต่หลบหนี แต่กลับสั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน และให้พลเรือนทำความสะอาดถนนหนทางอย่างสงบเสงี่ยม  ให้ทหารที่ซ่อนตัวอยู่แต่งกายเป็นชาวบ้าน คอยฉีดน้ำและกวาดพื้น  ตัวเขาเอง ได้ขึ้นไปนั่งตีขิมอยู่บนกำแพงเมือง

เมื่อกองทัพของสุมาอี้มาถึงหน้าประตูเมือง พวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ประตูเมืองเปิดกว้าง ไม่มีกองทหารป้องกัน สุมาอี้คิดว่า หากขงเบ้งกำลังจนตรอกจริง จะต้องสั่งทหารปิดประตูเมืองและเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ แต่นี่กลับเปิดประตูและนั่งดีดพิณอย่างสบายใจ นี่ต้องเป็นกับดักที่ ขงเบ้งจะต้องซุ่มกำลังทหารไว้ในเมือง เพื่อล่อให้ทัพของตนเองบุกเข้าไปติดกับ และถูกตีโอบล้อมจากด้านในและด้านนอก  สุมาอี้จึงไม่กล้าเสี่ยง  และตัดสินใจให้ถอยทัพ

เรื่องราว "ขงเบ้งตีขิมบนกำแพง" เป็นบทเรียนคลาสสิกของวรรณกรรมจีนที่สอนให้รู้ว่า สติปัญญา (智) และความเยือกเย็น (静) สามารถเอาชนะกองกำลังที่เหนือกว่าได้หลายเท่า การรู้จักใช้ ภาพลักษณ์ (Image) และ จิตวิทยา (Psychology) เป็นส่วนหนึ่งของกลศึกที่เหนือชั้นกว่าการรบด้วยกำลังแต่เพียงอย่างเดียว

โดย อาทร  จันทวิมล

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top