วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ราชวงศ์ชิง หรือต้าชิงหรือ หรือราชวงศ์แมนจู (清朝 Qing Dynasty พ.ศ. 2187-2455 ค.ศ. 1644-1912) เป็นราชวงศ์จีนที่ต่อจากราชวงศ์หมิง การปกครอง 268 ปีสร้างมรดกทางวัฒนธรรม ศิลปะ และความรู้ที่ยังคงอิทธิพลต่อจีนสมัยใหม่ แต่ความล้มเหลวในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและปัญหาภายในที่สะสมมานาน นำไปสู่การล่มสลายและการสิ้นสุดของระบบจักรพรรดิจีนที่มีมาเป็นเวลาหลายพันปี
ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์สุดท้ายของระบบจักรพรรดิจีน ที่ยึดอำนาจมาจากราชวงศ์หมิง ปกครองโดยชนเผ่าแมนจู ที่เป็นชนกลุ่มน้อยเร่ร่อนอยู่ในแคว้นแมนจูเรีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน คนแมนจูมิใช่ชาวฮั่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของจีน สมัยราชวงศ์ชิง เป็นช่วงเวลาที่จีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ สมัยราชวงศ์ชิงตรงกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ถึงรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงปลายราชวงศ์หมิง ประเทศจีนประสบปัญหาหลายประการ เช่นความอ่อน แอของระบบราชการและการทุจริตคอรัปชั่น ภัยธรรมชาติ ทำให้เกิด ความแห้งแล้ง น้ำท่วม การระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อพ.ศ. 2187 (สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา) ที่เมืองจีนเกิดกบฏชาวนาที่เดือดร้อนจากภาษีและภัยธรรมชาติ เข้ายึดกรุงปักกิ่ง ฮ่องเต้ชงจิ่นของราชวงศ์หมิงฆ่าตัวตาย ทำให้ราชวงศ์หมิงล่มสลายลง ทหารจีนได้ขอให้กองทัพแมนจูเข้ามาช่วยปราบกบฏ แต่เมื่อปราบกบฏสำเร็จแล้ว กองทัพแมนจูไม่ยอมถอนทหาร กลับเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศจีน แล้วก่อตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองจีน
ราชวงศ์ชิงได้ขยายอาณาเขตจีนจนกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยรวมทิเบต (Tibet) เขตซินเจียง (新疆)มองโกลตอนใน (Inner Mongolia)ไต้หวัน และส่วนใหญ่ของเอเชียกลาง
ราชวงศ์ชิงได้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจีนหลายประการ เช่นปรับปรุงเทคนิคการเกษตร ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและรองรับประชากรที่เพิ่มมากขึ้น พัฒนาเส้นทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าผ่านเส้นทางสายไหม มีประชากรเพิ่มจากประมาณ 100 ล้านคนในช่วงต้นราชวงศ์เป็น 400 ล้านคนในช่วงปลายราชวงศ์ มีการนำพืชจากทวีปอเมริกามาปลูก เช่น ข้าวโพด มันเทศ และมันฝรั่ง
ในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี (พ.ศ. 2204–2265) ภายหลังการต่อต้านของชาวฮั่น ทำให้ราชวงศ์ชิงหันมาใช้นโยบายประนีประนอมและผ่อนปรน โดยอนุญาตให้ชาวฮั่นมีสิทธิ์สอบจอหงวนเข้ารับราชการ และมีสิทธิ์เท่าเทียมกับชาวแมนจูได้ พ.ศ.2265 สมัยพระเจ้าท้ายสระ มีการส่งทูตอยุธยาไปเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน จักรพรรดิคังซีขอให้อยุธยาส่งข้าวสารมาขายที่มณฑล ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และเจ้อเจียง โดยทางจีนไม่เก็บภาษี เพราะเมืองจีนแห้งแล้ง ปลูกข้าวไม่พอกิน โดยเรือที่ไปส่งข้าวนั้นขากลับก็ซื้อผ้าไหม เครื่องเคลือบดินเผา และเครื่องทองเหลืองกลับมาอยุธยา
ในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง Qianlong Emperor (พ.ศ. 2278-2339) ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลายถึงต้นรัตนโกสินทร์ ถือเป็นยุคทองที่รุ่งเรืองของราชวงศ์ชิง พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะขยายอาณาเขตของจักรวรรดิต้าชิงโดยรวมเอเชียกลางและบางส่วนของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พ.ศ. 2308-2312 สมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ของจีน และพระเจ้ามังระแห่งราชวงศ์คองบอง ของพม่า ช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ได้เกิดสงครามจีนพม่า ที่จีนส่งกองทัพบุกพม่าตอนเหนือ ชายแดนยูนนาน เพราะขณะนั้นพม่าส่งทหารคุกคามแคว้นไทใหญ่ เจ้าฟ้าไทใหญ่ไปขอความช่วยเหลือจากจีน จึง เกิดการสู้รบระหว่างจีนกับพม่า ต่อเนื่อง 4 ปี โดยพม่าได้รับชัยชนะ เพราะทหารจีนที่มาจากปักกิ่งไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบ จึงป่วยด้วยไข้ป่าเป็นจำนวนมาก ทหารจีนเสียชีวิตถึง 70,000 คน ส่วนพม่าเสียทหารไปราว 20,000 คน พงศาวดารพม่าระบุว่า กองทัพพม่าของเนเมียวสีหบดี ที่ยึดกรุงศรีอยุธยาได้รับคำสั่งจากอะแซหวุ่นกี้ ให้เดินทางกลับพม่าโดยรีบด่วน เพื่อตั้งรับกองทัพจีน ทำให้พระเจ้าตากสินสามารถกู้เอกราชของสยามได้ในเวลาอันสั้น
มีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสยาม ไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์พงศาวดารจีนที่จัดทำขึ้นในราชวงศ์ชิง รัชสมัยเฉียนหลง เช่น เฉียนหลงตงฮวาลู่ (乾隆東華錄) และ ชิงสือลู่清实录) ถึงการติดต่อระหว่างสยามกับจีน ว่า คณะทูตจากกรุงศรีอยุธยาได้เดินทางไปถึงกรุงปักกิ่งในปี พ.ศ. 2309 (ก่อนเสียกรุงฯ เพียงเล็กน้อย) และตกค้างอยู่ที่เมืองกวางโจว เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 มีการส่งทูตไปจีนในสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการค้ากับราชสำนักต้าชิง
ในช่วงแรกของการก่อตั้งกรุงธนบุรี (หลัง พ.ศ. 2310) ราชสำนักจีนภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเฉียนหลง ไม่ยอมรับสถานะความเป็นกษัตริย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน เพราะจักรพรรดิเฉียนหลงทรงยึดมั่นในหลักการของขงจื๊ออย่างเคร่งครัด ทรงมองว่าการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ซึ่งเคยเป็นขุนนาง) ขึ้นมาตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนที่ราชวงศ์อยุธยาเดิมที่ถูกโค่นล้มไปนั้น เป็นการกระทำที่ ไม่ชอบธรรม และถือเป็น กบฏ ต่อผู้เป็นนายโดยในบันทึกช่วงแรกๆ ราชสำนักจีนมักเรียกสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ด้วยคำที่ไม่เป็นทางการ มองว่าพระองค์เป็นเพียง "นักฉวยโอกาส" หรือ "ผู้แสวงโชค" ที่ตั้งตนขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง ต่อมา ภายหลัง พ.ศ. 2314-2315 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถปราบปรามชุมนุมต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาดและทำให้สยามมีความมั่นคง ราชสำนักจีนจึง ยอมรับสยามในฐานะรัฐบรรณาการ และเริ่มส่งสินค้ามาค้าขายด้วย การยอมรับสยามช่วยให้จีนมีพันธมิตรในการถ่วงดุลอำนาจกับพม่า ซึ่งเป็นคู่สงครามกับจีนในขณะนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. 2325 ก็ได้ทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการกับจีนและส่งพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการไปถวายจักรพรรดิเฉียนหลงตามธรรมเนียมเดิม ซึ่งนำมาสู่การค้าที่เจริญรุ่งเรืองระหว่างสองประเทศ
พ.ศ.2382 และ 2399 ได้เกิดสงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษ เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ต้องการนำฝิ่นที่ปลูกในอินเดียเข้าไปขายในจีน แต่จีนตระหนักถึงพิษภัยของสารเสพติดจึงประกาศห้ามนำเข้า และยึดฝิ่นจากพ่อค้าอังกฤษทิ้งลงทะเลที่ท่าเรือกวางโจว อังกฤษจึงยกทัพเรือปิดล้อมเมืองชายทะเลกวางตุ้งและฮ่องกง จีนแพ้สงคราม ต้องยอมให้การค้าฝิ่นถูกกฎหมาย ยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเช่า99 ปี และยกเลิกการค้าแบบผูกขาด
พ.ศ. 2393-2407 (ค.ศ. 1850 – 1864) เกิดกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว(Taiping Rebellion) ซึ่งเป็นเป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เกิดขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เกิดการสู้รบระหว่าง กองทัพของรัฐบาลราชวงศ์ชิง กับ กลุ่มกบฏที่เรียกตัวเองว่า ไท่ผิงเทียนกั๋ว (Taiping Heavenly Kingdom) หรือ อาณาจักรสวรรค์มหาสันติสุข ผู้นำกบฏคือ หง ซิ่วเฉฺวียน (Hong Xiuquan) สาเหตุเกิดจากความไม่พอใจของชาวนาและชนชั้นล่างต่อการปกครองของราชวงศ์ชิง ความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการกดขี่ รวมถึงอิทธิพลจากความคิดแบบคริสต์ที่นำมาผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของจีน เป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีผู้เสียชีวิตประมาณกันว่ามีตั้งแต่ 20 ล้านคนขึ้นไปจนถึง 70-100 ล้านคน กลุ่มกบฏยึดเมืองสำคัญได้หลายแห่ง รวมถึงเมืองหนานจิงและตั้งเป็นเมืองหลวง แม้กบฏจะถูกปราบปรามลงได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลกลางของราชวงศ์ชิงเสื่อมอำนาจลงอย่างมาก และทำให้หัวเมืองต่างๆ มีกำลังทหารและอำนาจแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของราชวงศ์ชิงในเวลาต่อมา
พระนางซูสีไทเฮา 慈禧太后 เป็นผู้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดิ เป็นเวลา 47 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2404 ถึง 2451 มีการสร้างทางรถไฟไปแมนจูเรียและสร้างพระราชวังฤดูร้อน ในพ.ศ. 2438 เกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นสมัยเมจิต้องการขยายดินแดนมาทางแผ่นดินใหญ่ จึงส่งทหารบกและทหารเรือเข้ายึดเกาหลีซึ่งเป็นรัฐบรรณาการของจีน เพื่อควบคุมแหล่งแร่เหล็กและถ่านหิน ทำให้จีนสูญเสียเกาหลีและเกาะไต้หวันให้แก่ญี่ปุ่น
ต่อมาได้ เกิดกบฏนักมวยBoxer Rebellion ในพ.ศ. 2442-2443 ทางภาคเหนือแถบมณฑลชานตง และชิงเต่า เนื่องจาก ความไม่พอใจชาวต่างชาติตะวันตก และการแพร่ขยายของศาสนาคริสต์ โดยมีพระนางซูสีไทเฮาสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง มีการสังหารหมู่มิชชันนารีและผู้นับถือศาสนาคริสต์ เป็นชนวนให้พันธมิตรแปดชาติ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรีย-ฮังการี อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น และรัสเซีย นำทหาร 20,000 คนเข้าปราบปรามเอาชนะพวกกบฏได้ จีนต้องเสียค่าปรับ 450 ล้านเหรียญเงิน และเป็นหนึ่งในเหตุล่มสลายของราชวงศ์ชิง
พ.ศ. 2427-2428 เกิดสงครามระหว่างจีนกับฝรั่งเศส(Sino-French War) เพื่อแย่งชิงอิทธิพลบริเวณตังเกี๋ยหรือเวียดนามตอนเหนือซึ่งเป็นรัฐบรรณาการของจีน เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าแม่น้ำแดงไปยังมณฑลยูนนานของจีน กองทัพเรือฝรั่งเศสก็ประสบความสำเร็จในการยึดเมืองฮานอย และ เซินเตย ฝรั่งเศสสามารถทำลายกองเรือจีนที่ฝูโจวและยึดครองพื้นที่บางส่วนของไต้หวัน ฝรั่งเศสมีชัย เวียดนามตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส นำไปสู่การก่อตั้งอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดระยะเวลาที่ราชวงศ์ชิงระส่ำระส่าย เป็นประเทศล้าหลังและวุ่นวาย ชาวจีนถูกชาวตะวันตกและญี่ปุ่น ขนานนามว่าเป็น คนขี้โรคแห่งเอเชีย ทำให้ชาวจีนบางส่วนมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เจริญและเป็นประชาธิปไตย โดย มี ดร. ซุน ยัตเซ็น เป็นผู้นำ
ราชวงศ์ชิงครองแผ่นดินจีนจนถึงปี พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไฮ่(辛亥革命)นำโดยซุนยัดเซ็น และยวนซือไข เริ่มโดยทหารใหม่ก่อจลาจล ลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิงของชาวแมนจู เกิดการลุกฮือทั่วประเทศ มีการสู้รบและเสียชีวิตจำนวนมาก พ.ศ. 2455 จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกบังคับให้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์ชิง และการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเวลากว่า 2,000 ปีของประวัติศาสตร์จีน ซุนยัดเซ็นได้เปลี่ยนแปลงประเทศนำไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย ตั้งชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐจีน (Republic of China) นำไปสู่ยุคของความวุ่นวายทางการเมือง รวมถึงยุคขุนศึก การสู้รบระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์
การปฏิวัติซินไฮ่ พ.ศ. 2454 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ เป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบสาธารณรัฐ นำแนวคิดประชาธิปไตยและความทันสมัยเข้าสู่เอเชีย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการปฏิวัติในเอเชียหลายประเทศ รวมทั้งการกบฏทหารหนุ่ม ร.ศ. 130(พ.ศ 2454) สมัยรัชกาลที่ 6 และ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สมัยรัชกาลที่ 7 ในประเทศไทย
โดย อาทร จันทวิมล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี