บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ สาธารณรัฐประชาชนจีน

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ สาธารณรัฐประชาชนจีน

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China - PRC) ในปี  พ.ศ. 2492 ประเทศจีนได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การนำของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเดินทางอันยาวนานกว่า 7 ทศวรรษนี้ สามารถแบ่งออกเป็นสามยุคสำคัญที่กำหนดทิศทางของประเทศอย่างลึกซึ้ง คือ ยุคการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุง, ยุคปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้งเสี่ยวผิง และ ยุคฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของสีจิ้นผิง

ยุคที่1 ยุคเหมาเจ๋อตุง (พ.ศ. 2492-2519)..


หลังจากได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองกับพวกก๊กมินตั๋ง วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตุง ได้ประกาศก่อตั้ง "สาธารณรัฐประชาชนจีน" (People's Republic of China - PRC)ขณะที่รัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คถอยไปยังไต้หวัน ในเวลานั้น จีนเป็นประเทศที่ถูกทำลายจากสงคราม ประชากรกว่า 540 ล้านคนกว่าร้อยละ 80 เป็นชาวนาที่ยากจน อัตราการรู้หนังสือต่ำกว่าร้อยละ 20 และรายได้ต่ำ

เหมาเจ๋อตุงกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศให้เปลี่ยนจากจากสังคมศักดินา ให้เป็นสังคมชนชั้นกรรมมาชีพ ปราศจากการกดขี่ ภายใต้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างเคร่งครัด     โดยให้รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด   รวมศูนย์อำนาจ   และการปฏิรูปที่ดิน

การปฏิรูปที่ดิน (พ.ศ. 2493-2499) โดยยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินแจกจ่ายให้ชาวนา จากนั้นรวมเป็นสหกรณ์และคอมมูน

•             มหาวิถีก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (Great Leap Forward) (พ.ศ. 2501-2504): ความพยายามเปลี่ยนจีนจากเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรมอย่างเร่งรัด เช่นการผลิตเหล็ก แบบเตาหลอมหลังบ้าน  แต่ทำให้ชาวนาละทิ้งไร่นา ส่งผลให้เกิดความอดอยากครั้งใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนไปราว 15-45 ล้านคน

•             การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) (พ.ศ. 2509-2519):เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมขนาดใหญ่ที่มุ่งกำจัดอิทธิพลของทุนนิยมและประเพณีโบราณ     เยาวชนแดงหรือเรดการ์ด ได้ทำลายวัฒนธรรมเก่า  เพื่อกำจัดองค์ประกอบทุนนิยม  สร้างความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรง ระบบการศึกษาล่มสลายและเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก

 ยุคที่ 2: ยุคเติ้งเสี่ยวผิง ถึง โจวเอนไหล: การปฏิรูปและเปิดประเทศ (พ.ศ. 2521-2546)

หลังอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตุงในปี พ.ศ. 2519 เติ้งเสี่ยวผิง ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและริเริ่มนโยบาย "ปฏิรูปและเปิดประเทศ (Reform and Opening Up)" ใน พ.ศ. 2521 เพื่อนำจีนออกจากความยากจนและล้าหลัง คำกล่าวโด่งดังของเขาคือ "ไม่ว่าแมวจะสีดำหรือสีขาว ถ้าจับหนูได้ก็พอ" ซึ่งสื่อถึงการไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ หากสิ่งนั้นนำมาซึ่งความเจริญ    นโยบายการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง  ด้วยการยกเลิกระบบนารวม  อนุญาตให้มีการลงทุนจากต่างชาติ   จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) เช่น เซินเจิ้น และการส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชน ทำให้จีน "ร่ำรวยขึ้น" และหลุดพ้นจากความยากจนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลกต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยกระดับคนนับร้อยล้านให้พ้นจากความยากจน และนำพาจีนเข้าสู่เวทีโลกในฐานะผู้เล่นที่ทรงอิทธิพล

นโยบาย 4 ทันสมัย: เน้นการพัฒนา 4 ด้านหลัก คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การป้องกันประเทศ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

•             เศรษฐกิจที่เน้นตลาด: โดยค่อย ๆ นำกลไกตลาดและระบบความรับผิดชอบส่วนบุคคลมาผสมกับสังคมนิยม   ยกเลิกระบบคอมมูน ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ความอดอยากจึงหมดไป ประชาชนหลายร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน

•             เปิดรับการลงทุน: จัดตั้ง เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones - SEZs) เช่น เซินเจิ้น จูไห่ เซี่ยเหมิน ซานโถว ในพ.ศ. 2523  เพื่อดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทำให้จีนกลายเป็น "โรงงานของโลก"  และเซินเจิ้นเปลี่ยนจากหมู่บ้านชาวประมงเป็นมหานครเทคโนโลยีในเวลาอันสั้น

โจวเอนไหล (พ.ศ. 2541-2546)ได้สานต่อการเปิดประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาให้จีนเข้าเป็นสมาชิก องค์การการค้าโลก (WTO) ในปี พ.ศ. 2544 การเข้าร่วม WTO ทำให้จีนกลายเป็น "โรงงานของโลก" การส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการลงทุนขนาดมหึมาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันตก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ   ผลจากนโยบายปฏิรูป ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อเนื่องหลายทศวรรษ ประชาชนหลายร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน

ยุคที่ 3: สีจิ้นผิง: ความฝันจีนและมหาอำนาจใหม่ (พ.ศ. 2555-ปัจจุบัน)

สีจิ้นผิง ขึ้นมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ "ความฝันจีน (Chinese Dream)" เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาติ โดยมีเป้าหมายให้จีนเป็นประเทศสังคมนิยมทันสมัยที่เจริญแล้วภายในปี พ.ศ. 2592 (ครบรอบ 100 ปี ของสาธารณรัฐประชาชนจีน)  นำจีนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่เน้นการรวมอำนาจ  ต่อต้านการทุจริต และผลักดันให้จีนกลับมายิ่งใหญ่บนเวทีโลกอีกครั้ง

•             ขยายอิทธิพลโลก: โครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative - BRI) ที่เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2556 เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับสากล ครอบคลุม 140 ประเทศ

•             เศรษฐกิจและสังคม:

o             ประกาศกำจัด ความยากจนขั้นรุนแรง  ยกระดับชีวิตประชากรกว่า 800 ล้านคน ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2563

o             ผลักดันปรัชญา "ความมั่งคั่งร่วมกัน (Common Prosperity)" เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

o             ริเริ่มแผน "Made in China 2025" เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, หุ่นยนต์ และยานยนต์ไฟฟ้า

•             การปกครอง: ดำเนินการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เพิ่มการควบคุมทางสังคม การเซ็นเซอร์สื่อ และจำกัดเสรีภาพในบางพื้นที่

•             การรวมศูนย์อำนาจ: การยกระดับสถานะของตนเองเทียบเท่ากับเหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง ผ่าน "มติครั้งประวัติศาสตร์" และการยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

มิติการเติบโตและการท้าทาย

การอพยพและเครือข่ายจีนโพ้นทะเล "เสื่อผืนหมอนใบ" คือสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพไปทั่วโลกตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 เครือข่ายนี้มีบทบาทสำคัญในการนำเงินลงทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้กลับสู่จีนแผ่นดินใหญ่

โรงงานของโลกและตลาดผู้บริโภค จีนเป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมประมาณร้อยละ 28 ของโลก และมี ชนชั้นกลางขนาดใหญ่ถึง 400 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การปฏิรูปทำให้เกิด เศรษฐีพันล้าน มากเป็นอันดับสองของโลก เช่น Jack Ma (Alibaba) และ Pony Ma (Tencent)

ความท้าทายในอนาคต แม้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ จีนยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ:

•             ประชากรสูงวัย: นโยบาย "ลูกหนึ่งเป็นพอ" ทำให้โครงสร้างประชากรไม่สมดุล สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว และประชากรวัยทำงานลดลง

•             ความตึงเครียดกับตะวันตก: สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา   ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และประเด็นไต้หวัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตึงเครียด

•             สิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำ: การพัฒนาอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษรุนแรง ขณะที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทก็ยังคงสูง

บทสรุป

การเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนจีนจาก "เสื่อผืนหมอนใบ" สู่มหาอำนาจโลก เป็นเรื่องราวแห่งความมุ่งมั่น การปฏิรูปที่กล้าหาญ และการปรับตัวที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกวันนี้จีนเป็น เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ "ความฝันจีน" และการรักษาสถานะมหาอำนาจโลกยังคงขึ้นอยู่กับการจัดการกับความท้าทายทางประชากร เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมืองระหว่างประเทศที่ซับซ้อนในอนาคต

บทความ: สามยุคสามผู้นำ วิถีแห่งการพลิกโฉมสาธารณรัฐประชาชนจีน จากเหมาเจ๋อตุง สู่เติ้งเสี่ยวผิง ถึงสีจิ้นผิง

นับตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China - PRC) ในปี ค.ศ. 1949 ประเทศจีนได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การนำของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเดินทางอันยาวนานกว่า 7 ทศวรรษนี้ สามารถแบ่งออกเป็นสามยุคสำคัญที่กำหนดทิศทางของประเทศอย่างลึกซึ้ง คือ ยุคการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุง, ยุคปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้งเสี่ยวผิง และ ยุคฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของสีจิ้นผิง

1. ยุคของการปฏิวัติและอุดมการณ์: เหมาเจ๋อตุง (ค.ศ. 19491976)

เหมา เจ๋อตุง คือผู้ก่อตั้งและบิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านได้ประกาศการก่อตั้งประเทศในปี 1949 หลังนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมือง ยุคสมัยของเหมาเน้นหนักไปที่การสร้างสังคมนิยมตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างเคร่งครัด โดยมีเป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงจีนจากสังคมศักดินาไปสู่สังคมชนชั้นกรรมาชีพ

•             แก่นนโยบาย: รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด, การรวมศูนย์อำนาจ, และการปฏิรูปที่ดิน

•             เหตุการณ์สำคัญ:

o             นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (Great Leap Forward) ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เป็นความพยายามที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรอย่างก้าวกระโดด แต่กลับส่งผลให้เกิดภาวะอดอยากครั้งใหญ่และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

o             การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) (ค.ศ. 1966–1976) เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมขนาดใหญ่ที่มุ่งกำจัดอิทธิพลของทุนนิยมและประเพณีโบราณ แต่ได้สร้างความวุ่นวาย ความเสียหาย และความแตกแยกทางสังคมอย่างร้ายแรง

ในยุคนี้ จีน "ลุกขึ้นยืน" บนเวทีโลกในฐานะประเทศเอกราชที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม แต่ก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจอย่างหนักจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด

2. ยุคปฏิรูปและเปิดประเทศ: เติ้งเสี่ยวผิง (ค.ศ. 19781989)

หลังการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตุง ในปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิง ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของจีนอย่างไม่เป็นทางการ แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือประธานพรรคอย่างเป็นทางการ แต่บทบาทของท่านคือ "สถาปนิก" แห่งจีนยุคใหม่ที่ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศไปอย่างสิ้นเชิง

•             แก่นนโยบาย: "ปฏิรูปและเปิดประเทศ" (Reform and Opening-Up) ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำหลักการตลาดบางส่วนมาใช้ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์ (เรียกว่า "สังคมนิยมแบบมีลักษณะเฉพาะของจีน" หรือการใช้สำนวนที่ว่า "ไม่ว่าจะแมวขาวหรือแมวดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ")

•             การเปลี่ยนแปลง: การยกเลิกระบบฟาร์มรวม, การอนุญาตให้มีการลงทุนจากต่างชาติ, การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) เช่น เซินเจิ้น และการส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชน นโยบายนี้ทำให้จีน "ร่ำรวยขึ้น" และหลุดพ้นจากความยากจนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลกต่อเนื่องยาวนาน

ยุคของเติ้งได้วางรากฐานสำคัญที่ทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเปลี่ยนประเทศจากสังคมที่ปิดสู่สังคมที่เปิดรับการค้าและเทคโนโลยีจากภายนอก

3. ยุคแห่งความยิ่งใหญ่และการรวมอำนาจ: สีจิ้นผิง (พ.ศ.  2555ปัจจุบัน)

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้นำจีนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่เน้นการรวมอำนาจ การต่อต้านการทุจริต และการผลักดันให้จีนกลับมายิ่งใหญ่บนเวทีโลกอีกครั้ง

•             แก่นนโยบาย: "ความฝันจีน" (Chinese Dream) ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาติจีน (Great Rejuvenation of the Chinese Nation) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้จีนกลายเป็น "ประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยและยิ่งใหญ่" ภายในปี 2049

•             นโยบายเด่น:

o             การรณรงค์ปราบปรามการทุจริต: การกวาดล้างเจ้าหน้าที่ทั้งระดับสูงและระดับล่างเพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมของพรรคและรวมอำนาจ

o             นโยบายต่างประเทศเชิงรุก: การริเริ่มโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative - BRI) เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก

o             การรวมศูนย์อำนาจ: การยกระดับสถานะของตนเองเทียบเท่ากับเหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง ผ่าน "มติครั้งประวัติศาสตร์" และการยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ในยุคนี้ จีนกลายเป็นมหาอำนาจโลกทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร ภายใต้การนำที่เข้มแข็งและเน้นการควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างสูงสุด

บทสรุป

การเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้ผู้นำทั้งสามคนนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์อย่างน่าทึ่ง

•             เหมา เจ๋อตุง: ทำให้จีน "ยืนขึ้น" ด้วยการสร้างชาติที่เป็นเอกราชและมีอุดมการณ์

•             เติ้ง เสี่ยวผิง: ทำให้จีน "ร่ำรวยขึ้น" ด้วยการเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ

•             สี จิ้นผิง: พยายามทำให้จีน "ยิ่งใหญ่ขึ้น" ด้วยการรวมอำนาจและการเป็นผู้นำระดับโลก

โดย อาทร  จันทวิมล

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top