ทรัพยากรน้ำ..มีความสำคัญกับมนุษย์ตั้งแต่การอุปโภคบริโภคโดยตรงในครัวเรือนไปจนถึงเป็นปัจจัยในการผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นอาหาร "มีน้ำจึงมีชีวิต" มนุษย์แต่โบราณกาลมาจึงมักตั้งถิ่นฐานใกล้กับแหล่งน้ำธรรมชาติเสมอ และ "ภัยแล้ง" ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากเผชิญ จึงมีความพยายามค้นคว้าองค์ความรู้ด้านการรักษาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมาโดยตลอด
อำเภอด่านซ้าย..พื้นที่ขนาด 1.7 พันตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ตั้งอยู่ใน จังหวัดเลย แม้จะมีเนื้อที่ใหญ่กว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีเนื้อที่ 1.5 พัน ตร.กม. แต่ข้อแตกต่างคือกรุงเทพฯ นั้นแต่เดิมเคยได้สมญานามว่า "เวนิสตะวันออก" เพราะมีลำคลองมากมายที่เชื่อมต่อกับเส้นเลือดใหญ่อย่างแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ราบลุ่มมีความอุดมสมบูรณ์ ส่วนอำเภอด่านซ้ายมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ทำให้การไหลของลำน้ำตามธรรมชาติอย่าง "แม่น้ำหมัน" ไม่แน่นอน
ผศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา
ผศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา อาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า อำเภอด่านซ้าย นอกจากจะเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันในเชิงนิเวศ และการใช้ชีวิตของแต่ละชุนชนสูงแล้ว ยังเป็นพื้นที่วิกฤติ "เขาหัวโล้น" ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ต่างจาก จังหวัดน่าน ของภาคเหนือ ที่ผลกระทบไม่ได้เกิดกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น "ความแตกแยกขัดแย้ง" ระหว่างคนบนพื้นที่ลุ่มกับคนบนพื้นที่สูงด้วย
"คนในพื้นที่ราบลุ่มต้องประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำป่าไหลบ่า ดินถล่ม และยังได้รับผลกระทบจากการทำการเกษตรของคนบนพื้นที่สูงที่มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการใช้สารเคมีในปริมาณที่สูงมาก ทำให้ระบบนิเวศของคนบนพื้นที่ราบลุ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงแหล่งอาหารธรรมชาติของชุมชนหายไป เช่น พื้นที่ที่เคยเป็นวังปลาและปลาที่อยู่ในลุ่มน้ำหมันซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักหายไป" นักวิชาการผู้นี้ ระบุ
อาจารย์เอกรินทร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการ "แนวทางการจัดการลุ่มน้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เล่าต่อไปว่า โครงการนี้แต่เดิมนำร่องกันที่ 2 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านนาเวียงใหญ่ และ หมู่บ้านห้วยตาด เพราะทั้ง 2 หมู่บ้านนี้เป็น "คู่ขัดแย้ง" ไม่ลงรอยกันเรื่องการใช้ทรัพยากรน้ำ แต่เมื่อทำไปได้สักพักกลับได้บทสรุปว่า "ถ้าทำแค่นี้คงแก้อะไรไม่ได้" วิธีที่แก้ปัญหาให้หมู่บ้านหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบของหมู่บ้านอื่นๆ จึงขยายออกไปสู่โครงการบริหารจัดการทั้งระบบลุ่มน้ำหมัน
วิถีชีวิตชาวพื้นที่ราบลุ่มใน อ.ด่านซ้าย
และจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการ "รับฟัง" คนในพื้นที่อย่าง "ตั้งใจ" ด้วยความรู้สึกที่ "จริงใจ" ให้ชาวบ้านได้สะท้อนปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะตลอดลุ่มน้ำหมันแต่ละพื้นที่จะมีลักษณะในเชิงกายภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ละหมู่บ้านมีรูปแบบการทำเกษตรที่แตกต่างกัน การดำเนินงานวิจัยจึงต้องประเมินสถานการณ์ของแต่ละหมู่บ้านก่อนว่าเป็นอย่างไร
"การปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม หรือ Participatory Action Research เพื่อต้องการรู้ความต้องการในการแก้ปัญหาของแต่ละหมู่บ้าน ถอดบทเรียนเพื่อหาคำตอบของแต่ละหมู่บ้านว่าที่ผ่านมามีการจัดการน้ำอย่างไร มีการจัดการป่าอย่างไร และมีรูปแบบในการทำเกษตรอย่างไร เพื่อต้องการรู้ว่าเขาคิดและต้องการอะไร ปัญหาคืออะไร และทำไมถึงไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงค่อยนำมาสู่การหาวิธีการแก้ปัญหา" อาจารย์เอกรินทร์ อธิบาย
ภายหลังการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากทั้งชาวบ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหารอำเภอ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย เมื่อต้นปี 2560 ที่ประชุมมีมติให้จัดทำ "แผนยุทธศาสตร์การจัดการลุ่มน้ำหมัน" เป็นวาระเร่งด่วน ปัจจุบันแผนดังกล่าวผ่านการพิจารณาจากทางอำเภอแล้ว โดยจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณเดือน ต.ค. 2561
"ป่าเต็งรังบ้านปากหมัน" (ภาพบน), "ลำน้ำหมัน" (2 ภาพล่าง)
อาจารย์เอกรินทร์ สรุปบทเรียนสำคัญของโครงการครั้งนี้ไว้ว่า "จริงๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่การพัฒนาอะไรในพื้นที่ต้องฟังเสียงชาวบ้าน ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้าน" โครงการของภาครัฐที่ลงไปในพื้นที่จึงต้องสอบถามความต้องการของชาวบ้านเสียก่อน ซึ่งงานวิจัยลุ่มน้ำหมันชิ้นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่เห็นและไม่เข้าใจชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยตรงนั้น
เฉกเช่นพื้นที่อื่นๆ ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ อาทิ "บ้านผาสุข" ต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ("บ้านผาสุข" ชุมชนต้นแบบ ใช้ทักษะ "วิจัย" แก้ปัญหาน้ำ-แนวหน้าวาไรตี้ หน้า 13 ฉบับพฤหัสบดีที่ 23 พ.ย. 2560) หรือ "บางคนที-บางนกแขวก" 2 ตำบลในพื้นที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม (‘บางคนที’ ฟื้นคลอง-ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ-สกู๊ปแนวหน้า หน้า 5 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 14 ม.ค. 2561) ทั้ง 2 พื้นที่ไม่เพียงใช้งานวิจัยแก้ปัญหาทรัพยากรน้ำในชุมชนได้เท่านั้น แต่งานวิจัยดังกล่าวยังมีที่มาจากการ "ร่วมคิดร่วมทำ" ลงมือลงแรงโดยคนในชุมชนเอง
ไหนๆ วันนี้รัฐบาลก็มีโครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" ที่มุ่งหมายแก้ปัญหาของประชาชน "ลึกถึงระดับตำบลและหมู่บ้าน" ก็ขอให้ยึดหลักการข้างต้นนี้ด้วย อย่าได้ยึดติดการสั่งการจากบนลงล่าง (Top-Down) ตามธรรมเนียมระบบราชการ เพื่อให้งบประมาณและทรัพยากรต่างๆ ที่ทุ่มลงไป เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง!!!
หมายเหตุ : ทีมงาน "นสพ.แนวหน้า-แนวหน้าออนไลน์" นำเสนอเรื่องราวการใช้งานวิจัยที่มาจากการริเริ่มหรือการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้การสนับสนุนชุมชนเพื่อแก้ปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ไว้ดังนี้
ลด ‘เขาหัวโล้น’ ที่ ‘ด่านซ้าย’ วิจัยความรู้สู่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (แนวหน้าวาไรตี้ 21 ก.ค. 2560)
'บ้านผาสุข’ชุมชนต้นแบบ ใช้ทักษะ'วิจัย'แก้ปัญหานํ้า (แนวหน้าวาไรตี้ 23 พ.ย. 2560)
'แผนแม่บทบริหารน้ำ’พัทลุง ถอดบทเรียนอุทกภัย‘ฝนพันปี'(สกู๊ปแนวหน้า 10 ธ.ค. 2560)
ที่นี่‘ดำเนินสะดวก’ ต่อยอดเกษตรอินทรีย์แก้น้ำเสีย (แนวหน้าวาไรตี้ 4 ม.ค. 2561)
‘บางคนที'ฟื้นคลอง-ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (สกู๊ปแนวหน้า 14 ม.ค. 2561)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี