ถือเป็นคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในรอบสัปดาห์เศษๆ ที่ผ่านมา กับกรณีการจับกุมคณะบุคคลลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี และ 1 ในผู้ต้องหาเป็นผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ พร้อมกับซากสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะที่สะเทือนใจที่สุดคือ "เสือดำ" สัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งถูกระบุว่า "หายากมาก" ไม่ค่อยได้พบเจอกันง่ายๆ นำมาซึ่งกระแสสังคมที่จับจ้องไปที่กระบวนการยุติธรรมว่าคดีนี้จะจบอย่างไรเพราะผู้ต้องหาเป็นคนร่ำรวย มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ "เสือดำต้องไม่ตายฟรี" เกิดขึ้นทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์
รวมถึงการกล่าว "ประณาม" ผู้ก่อเหตุว่าเป็นผู้ "โหดร้ายผิดมนุษย์มนา" เห็นชีวิตอื่นเป็น "ของเล่น" สนองความสนุกสนานส่วนตน บ้างก็บอกเป็น "ค่านิยมตกยุคล้าหลัง" สาปแช่งก่นด่ากันทั่วไป ทว่าอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงสะท้อน "ขวางกระแส" ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า "จริงอยู่ที่คณะผู้ล่าสัตว์ทำผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี" แต่การที่หลายคน "เห็นคนมีรสนิยมชอบการล่าสัตว์เป็นคนเลวคนชั่ว" อาจจะดู "แรงเกินไปหรือไม่?" ด้วยเหตุที่ "ในหลายประเทศการล่าสัตว์ไม่ผิดกฎหมาย" แถมยังมีการจัดการแข่งขัน มีรางวัลกันเป็นเรื่องเป็นราว
13 ก.พ. 2561 ที่งานเสวนา "จาก 16 ถึง 61 คลี่ม่านเกมล่าสัตว์ทุ่งใหญ่ เกมชีวิตอภิสิทธิ์ชน?" ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ย่านสามเสน กรุงเทพฯ สมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช อธิบายเรื่องนี้ว่า ในมุมหนึ่ง "เป็นความจริงที่การล่าสัตว์นั้นถูกจัดอยู่ในกระบวนการควบคุมปริมาณไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป" จนส่งผลกระทบต่อพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในตำราการบริหารจัดการทรัพยากรรุ่นเก่าๆ ถึงขั้นใช้คำว่า "เกม" (Game) ที่หมายถึง "กีฬาล่าสัตว์" อย่างตรงตัวเสียด้วยซ้ำไป ทว่าก็ "ไม่ใช่การล่าอย่างเสรี" แต่อย่างใด
สมโภชน์ มณีรัตน์
“เดิมทีคำว่าเกมมันเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาทำภายใต้หลักวิชาการ มีการออกใบอนุญาต จ่ายเงินเรียบร้อย ล่าได้กี่ตัว เพศไหน ห้วงเวลาเท่าใด เขาทำภายใต้ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย กับการจัดการที่ถูกต้อง แต่บ้านเราประชากรสัตว์มันไม่ได้เยอะเกินขนาดนั้น ตรงกันข้ามทำอย่างไรให้มันขึ้นมาเสมอก็เป็นบุญแล้ว บ้านเราอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ถ้าวันหนึ่งเราบริหารจัดการจนมันเยอะเกินพื้นที่รองรับ เมืองนอกล่าเป็นเกมทำได้ไหม? ทำได้ ถูกต้องด้วย แต่บ้านเราทำได้ไหม? ยังทำไม่ได้ เพราะสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นนั้น” สมโภชน์ ระบุ
โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติฯ ย้ำด้วยว่า วันนี้ระบบนิเวศของไทยขาดความสมดุล "ระบบห่วงโซ่อาหารเจ๊งหมดแล้ว" อาทิ บางพื้นที่มีแต่ต้นไม้ไม่มีสัตว์ หรือมีก็แต่เพียงสัตว์กินพืชตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่สัตว์กินเนื้อที่เป็นนักล่าแทบไม่เห็น รวมถึงบางพื้นที่ที่สัตว์ป่าออกมารบกวนชาวบ้าน เพราะไม่มีสัตว์ที่เป็นผู้ควบคุมประชากรตามธรรมชาติ ซึ่งระบบนิเวศที่เสียไปแล้ว "ฟื้นยากมาก" ไม่ใช่สั่งวันนี้พรุ่งนี้จะทำให้ดีขึ้นได้
“นี่ต่างหากคือหัวใจสำคัญ เอาป่าที่ดีให้อยู่ เอาสัตว์ที่ดีให้อยู่ อย่าให้มันหายไป ใครบอกปลูกป่าแล้วได้ระบบนิเวศ บอกเลยมันยาก กว่าจะได้ขึ้นมาเหมือนเดิมมันยาก สัตว์ป่ามันหายไปจะเติมก็ยากยาก หลายคนบอกทำไมวันนี้ไม่เอาเสือโคร่งปล่อยสู่ป่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด หัวใจสำคัญที่เราย้ำเหมือนเดิมคือ ทำอย่างไรถึงจะรักษาสิ่งดีๆ เหล่านี้เอาไว้ให้ได้” สมโภชน์ กล่าวย้ำ
ขณะที่ เอ็ดวิน วีค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ยกตัวอย่าง "ทวีปแอฟริกา" ที่ในบางประเทศผู้ครอบครองที่ดินจำนวนมากในประเทศนั้นๆ ทำธุรกิจทัวร์ล่าสัตว์กันเป็นเรื่องเป็นราว ตั้งแต่การเพาะพันธุ์สัตว์ป่าแล้วนำมาปล่อยในพื้นที่ให้ล่า หรือล่าสุด กัมพูชา ที่มีการวางแผนมาหลายปีแล้วว่าเตรียมสร้างพื้นที่สำหรับปล่อยสัตว์ป่าเข้าไปแล้วเปิดให้ผู้สนใจเข้าไปล่า เป็นรูปแบบ "การท่องเที่ยว" อีกประเภทหนึ่ง
เอ็ดวิน วีค
"อันนี้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ผิดบาปแค่ไหนแต่ยังถูกกฎหมายอยู่ แต่ที่เราเห็นอยู่ในประเทศไทยนี้มันผิดกฎหมาย” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ระบุ
ซึ่งการสร้างพื้นที่ขึ้นมาแล้วเปิดให้เป็นที่ล่าสัตว์ในกัมพูชานั้น สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานเมื่อ 11 ธ.ค. 2560 ว่า มีบริษัทเอกชนสนใจเนรมิตพื้นที่ 2.5 แสนเอเคอร์ หรือ 6.25 แสนไร่ ที่เมือง มณฑลคีรี (Mondulkiri) กับเมือง รัตนคีรี (Rattanakiri) ซึ่งเป็น 2 เมืองชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม โดยจะมีสัตว์ 30 ชนิดทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก และสัตว์เลื้อยคลานให้นักท่องเที่ยวได้ล่ากัน
รายงานข่าวของรอยเตอร์ อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ Dany Chheang ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสัตว์ป่า กระทรวงเกษตรของกัมพูชา ซึ่งให้เหตุผลว่า "อย่างน้อยการให้ชาวต่างชาติจ่ายเงินมาล่าสัตว์นั้นในแง่การอนุรักษ์ก็ยังดีกว่าทุกวันนี้ที่สัตว์ป่าถูกล่ากันอย่างผิดกฎหมาย" โดยเม็ดเงินที่ได้จากนักท่องเที่ยวสามารถนำไปอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า มิใช่ปล่อยให้พรานท้องถิ่นล่าไปขายกันในตลาดมืดแบบถูกๆ
"รัตนคีรี-มณฑลคีรี" (2 เมืองขวาสุดของแผนที่) พื้นที่ที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมเปิดเป็นสถานที่ล่าสัตว์
ที่มา : http://www.asiavipa.com/cambodia-map
ถึงกระนั้น องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าระหว่างประเทศอย่าง กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund : WWF) แสดงความกังวลกับเรื่องนี้ เนื่องด้วยประชากรสัตว์ป่าใน 2 จังหวัดนั้นยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัด การเปิดให้เข้าไปล่าอาจก่อผลเสียมากกว่า ต่างจากในทวีปแอฟริกาที่มีการศึกษามาอย่างดี และมีการควบคุมอย่างรอบคอบมาก ทว่าฝ่ายภาครัฐของกัมพูชา ยืนยันว่าจะผลักดันโครงการดังกล่าวต่อไป
บทสรุปของข้อข้องใจนี้ก็คือ "ต้องเข้าใจบริบทของแต่ละพื้นที่" ว่าการที่บางประเทศเปิดให้ล่าสัตว์ได้นั้นเป็นเพราะมีจำนวนสัตว์บางชนิดมากเกินไปจนต้องหาทางลดจำนวนลงบ้าง แต่การล่านั้นก็มีกฎระเบียบให้ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แน่นอนประเทศไทยไม่สามารถทำได้เพราะบ้านเราจำนวนสัตว์ป่าน้อยเกินไป ชนิดที่นอกจากจะไม่ควรล่าแล้วยังต้องเร่งฟื้นฟูเพื่อให้ระบบนิเวศกลับมาดีดังเดิมอีกต่างหาก จึงต้องมีกฎหมายขึ้นมาว่าห้ามล่าสัตว์ป่า โดยกำหนดเป็นสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง
นั่นคือมุมมองในแง่กฎหมายและวิชาการ ส่วนมุม “ศีลธรรม-มโนธรรม” คงต้องแยกเป็นอีกเรื่องให้สังคมได้ถกเถียงกันต่อไป!!!
ขอบคุณข่าวจาก
Cambodia plans hunting safaris for VIP tourists : 11 ธ.ค. 2560
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี