ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่าจะจบอย่างไรกับ “บ้านศาลในพื้นที่ป่า” หรือโครงการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 5 และที่พักข้าราชการตุลาการ เพราะในขณะที่ฝ่ายศาลยืนยันว่าทุกขั้นตอนไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ฝั่งเครือข่ายภาคประชาชนก็ประกาศจุดยืนต้องรื้ออาคารที่อยู่ในพื้นที่ป่าออกทั้งหมด และพร้อมทำทุกทางแม้กระทั่งขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจพิเศษ “มาตรา 44” ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งยุติโครงการทั้งหมดเพื่อคืนสภาพป่าให้เป็นดังเดิม
นอกเหนือจากประเด็น “กฎหมายหรือความเหมาะสม” แล้ว กรณีบ้านพักศาลในป่าดอยสุเทพยังถูกนำไปโยงเป็นเรื่อง “การเมือง” เนื่องด้วยเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวตรงกับสมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ พอดี ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่ที่แน่ๆ มีความพยายาม “ขยายปม” ว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่จริงๆ แล้ว โครงการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 5 และที่พักข้าราชการตุลาการเชิงดอยสุเทพ เป็นโครงการที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายยุคสมัย
ย้อนไปเมื่อปี 2500 กรมที่ดิน ได้ออกเอกสารสิทธิ นสล.เลขที่ 394/2500 ให้ กระทรวงกลาโหม ใช้ประโยชน์ โดยมีกองทัพบก (ทบ.) ในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) เป็นผู้ใช้พื้นที่กับทาง กรมธนารักษ์ และแม้จะเป็นป่า แต่ในเวลานั้น “ยังไม่มีกฎหมายป่าสงวน” โดย พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ เกิดขึ้นในปี 2507 ดังนั้นหากยึดหลักที่ว่า “กฎหมายไม่ควรมีผลย้อนหลังเป็นโทษ” พื้นที่ดังกล่าวย่อมไม่ถือเป็นป่าสงวน
ขณะที่ศาลนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2540 ในเวลานั้น สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ทำเรื่องขอแบ่งพื้นที่จาก ทบ. ไปใช้ประโยชน์ แต่ทาง ทบ. ไม่อนุมัติ กระทั่งอีก 7 ปีต่อมา ช่วงต้นปี 2547 ครั้งนี้ ทบ. อนุมัติให้ใช้ที่ดินจำนวน 143 ไร่ ซึ่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยุคนั้นชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และในปี 2549 ทางฝ่ายศาลก็ได้รับอนุญาตจากฝ่ายทหาร ให้ใช้ที่ดินจำนวน 147 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักผู้พิพากษาและข้าราชการศาลยุติธรรม
และในช่วงกลางปีเดียวกัน กรมธนารักษ์ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำเนินการจัดทำหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ จากนั้นกระทรวงการคลัง อันเป็นต้นสังกัดของกรมธนารักษ์ จึงอนุมัติให้ใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการ แต่กว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ก็ต้องรออีก 7 ปีให้หลัง คือในปี 2556 เนื่องด้วยฝ่ายศาลเพิ่งได้รับงบประมาณ ซึ่งในยุคนั้นมีนายกฯ ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนจะมาถึงปี 2561 หรือห้วงเวลาปัจจุบันที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ที่โครงการดังกล่าวใกล้เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดใช้งาน
5 เม.ย. 2561 สราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ชี้แจงประเด็นบ้านศาลในป่าดอยสุเทพว่า “ทำตามกฎหมายทุกประการ” ไม่มีการบุกรุกพื้นที่ป่า โดยข้อเท็จจริงที่ได้รับอนุญาตใช้พื้นที่นั้น “มีพื้นที่อนุญาตไว้ 147 ไร่ แต่มีการใช้จริง 89 ไร่” ในส่วนของการดำเนินการในปัจจุบันยังมีสัญญาที่ยังผูกพันกับเอกชนจำนวน 3 สัญญา แบ่งเป็นสัญญาก่อสร้างอาคารที่ทำการของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้ว
ส่วนสัญญาที่ 2 และ 3 เป็นส่วนของอาคารชุดและอาคารที่พักของข้าราชการใน จ.เชียงใหม่ ที่ทำงานให้กับศาลยุติธรรม โดยในส่วนของสัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 มูลค่าสัญญา 321 ล้าน กับ 342 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญาจะเสร็จสิ้นในวันที่ 9 และ 18 มิ.ย. 2561 ตามลำดับ พร้อมทั้งย้ำว่า “โครงการบ้านพักดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของราชการ ไม่ได้เป็นบ้านพักส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” และระบุด้วยโครงการทั้งหมดไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของศาลอุทธรณ์ภาค 5 แต่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานศาลยุติธรรม ในฐานะที่เป็นหน่วยงานธุรการของศาลยุติธรรม
นั่นคือมุมมองด้านกฎหมาย แต่ในด้านความเหมาะสม เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ออกแถลงการณ์เมื่อ 6 เม.ย. 2561 ว่าพื้นที่ก่อสร้างโครงการได้ก่อสร้างล้ำขึ้นจากแนวการใช้ประโยชน์ของหน่วยงานอื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อปัญหาอัคคีภัย อุทกภัยโคลนถล่มตามฤดูกาล รวมถึงอาจเป็นจุดเริ่มของการขยายพื้นที่ใช้ประโยชน์เขตราชพัสดุส่วนที่เป็นป่าดอยสุเทพจุดอื่นๆ ลุกลามตามมา
อนึ่ง..ภาคประชาชน “เข้าใจความสุ่มเสี่ยงในข้อกฎหมาย” ซึ่งมีผลผูกพันทำให้การยกเลิกโครงการอาจไม่สามารถทำได้ จึงเสนอทางออกให้ “ก่อสร้างจนโครงการแล้วเสร็จ จากนั้นฝ่ายศาลดำเนินการคืนพื้นที่ที่มีปัญหากลับไปเป็นที่ราชพัสดุ” เรื่องนี้ก็จะจบแบบ “สวยงาม” เพราะได้พิจารณาผลกระทบและสภาพปัญหาในมิติต่างๆ เพราะศาลยุติธรรมในยุคสมัยใหม่เล็งเห็นว่าสาธารณประโยชน์และคุณค่าด้านจิตวิญญาณของประชาชนมีความสำคัญเหนือกว่าประโยชน์ขององค์กร
พร้อมย้ำว่า “ปัญหานี้ไม่สามารถมองจากแง่มุมทางกฎหมาย หรือสิ่งแวดล้อมเพียงมิติเดียว หรือสองมิติ การที่หน่วยงานในอดีตได้เลือกใช้พื้นที่ไม่เหมาะสม ยังมีผลต่อความรู้สึก ความศรัทธา ความกังวล และความไม่เชื่อมั่นต่อสถาบันของรัฐ ทั้งจะเป็นชนวนก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นมิตรกับประชาชนชาวพื้นถิ่น สะสมยาวนานต่อไปอีก”
10 เม.ย. 2561 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 5 และที่พักข้าราชการตุลาการที่ทับซ้อนกับพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ว่า “ไม่ง่ายที่จะรื้อ” เพราะเป็นการก่อสร้างที่ทำตามขั้นตอน มีสัญญาระหว่างรัฐและผู้รับเหมา ถ้าดำเนินการอะไรไปอาจถูกฟ้องได้ และย้ำว่า “อย่านำไปเทียบกับการรื้อรีสอร์ทของเอกชน เพราะกรณีเหล่านั้นพบว่าทำผิดกฎหมายชัดเจน” ส่วนเรื่องนี้จะถูกหรือผิดต้องหาข้อเท็จจริงกันต่อไป แต่ก็เชื่อว่า “ถึงสร้างได้คงไม่มีใครกล้าไปใช้” เพราะประชาชนประท้วงเสียแล้ว จึงต้องมาคิดกันว่าจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม 11 เม.ย. 2561 ธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ยังคงยืนยันว่าต้องรื้ออาคารออกเท่านั้น โดยวางไว้ 3 แนวทางคือ 1.รื้อบ้านพักทั้งหมด และอาคารแฟลตที่พัก 9 หลัง จากทั้งหมด 13 หลัง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของเครือข่าย โดยยึดแนวเขตป่าดั้งเดิม 2.รื้อบ้านพักทั้งหมด และอาคารแฟลตที่พัก 6 หลัง และ 3.รื้อบ้านพักทั้งหมด พร้อมคงอาคารแฟลตที่พักไว้ทั้งหมด 13 หลัง
โดยหลังจากนี้จะมีการรวบรวมข้อมูลและข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวเพื่อนำเสนอให้แม่ทัพภาค 3 เพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป ซึ่งเวลานี้เหลือเพียงเข้าไปลงพื้นที่สำรวจร่วมกันในพื้นที่จริงของโครงการก่อสร้างเท่านั้น แต่เชื่อว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 19 เม.ย.2561 นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า “นายกฯ ควรมาดูพื้นที่ด้วยตนเอง” เพื่อจะได้เข้าใจว่ามีปัญหา มีความไม่เหมาะสมในทางธรรมชาติอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาว่าใครผิดใครถูก หรือรัฐบาลใดเป็นผู้เริ่มต้นปัญหา..เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นอาจถือเป็น “บทเรียน” ได้ว่าการอนุมัติโครงการใดๆ ของรัฐ นอกจากจะคำนึงถึงความต้องถูกต้องในแง่กฎหมายแล้ว “การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น” เป็นอีกประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย โดยเฉพาะโครงการที่มีข้อวิตกกังวลในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี