องค์กรสตรี ชี้ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง แนวโน้มเพิ่มขึ้น65% ยิ่งดื่มเหล้า-เสพยา ความรุนแรงเพิ่มเท่าตัว แนะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือช่วย ภาครัฐเพิ่มกลไกให้คำปรึกษา เน้นเข้าใจ-เป็นมิตร ด้านอดีตเหยื่อความรุนแรง วอนสังคมช่วยแจ้งเหตุร้าย อย่าเฉยมองเป็นเรื่องผัวเมีย
25 เม.ย.61 นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นายชัยชนะ ศิริชาติ หรือ เอ็ม ชายหนุ่มไลฟ์เฟซบุ๊กทำร้ายร่างกายแฟนสาวจนบาดเจ็บสาหัส ภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านนวมินทร์ ว่า สถิติที่มูลนิธิฯเก็บข้อมูลทางหน้าหนังสือพิมพ์ พบว่า ส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์ความรุนแรงในคู่รักหรือแฟน มักจะเป็นฝ่ายชายที่กระทำกับฝ่ายหญิง โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 54.55% ในปี 57 เพิ่มเป็น 65.2% ในปี 59 โดยมีชนวนเหตุมาจากความหึงหวง ซึ่งสะท้อนทัศนคติที่ถูกปลูกฝังว่า เมื่อหญิงและชายมีความสัมพันธ์กันแล้ว ทั้งในรูปแบบของสามี-ภรรยา หรือคู่รักแบบแฟน ฝ่ายชายมักคิดว่าฝ่ายหญิงต้องเป็นสมบัติของฝ่ายชาย ถือเป็นการใช้อำนาจเหนือกว่า ผ่านการแสดงออก พฤติกรรมความเป็นเจ้าของ การครอบครอง การใช้กำลังบังคับข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย จนถึงขั้นร้ายแรงที่สุดก็คือ การฆ่า ซึ่งผู้กระทำจะไม่มองคนรักว่าเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ยิ่งไปกว่านั้น หากมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติด จะทวีความรุนแรงเป็นเท่าทวี
นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
"เมื่อใครที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลักษณะนี้ สิ่งที่ต้องทำคือ จับสัญญาณว่าผู้ชาย หรือ คนรัก มีปัจจัยเสี่ยงทั้งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และใช้ยาเสพติดอะไรหรือไม่ และเมื่อทะเลาะกัน มักจะใช้คำหยาบ ทำลายของใช้ในบ้าน เมื่อเริ่มมีพฤติกรรมลักษณะนี้ ต้องคิดไว้เสมอว่า ผู้ชายจะไต่ระดับความรุนแรงขึ้นแน่นอน ดังนั้น ผู้หญิงต้องกล้าที่จะต่อรองเพื่อป้องกันการทำร้ายร่างกาย แต่จากสถิติที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเลือกที่จะอดทน ถูกสอนให้ต้องอดทน ให้อภัย ให้โอกาส เพราะผู้กระทำเป็นสามี ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ต้องมีกลไกเข้าให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ ตรงจุด เป็นมิตร และผู้หญิงเองก็ต้องสร้างเงื่อนไขในการให้อภัย เพื่อให้ผู้กระทำได้รับบทเรียนและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในข่ายอันตรายหรือมีแนวโน้มที่เสี่ยงจะถูกกระทำ สามารถโทรขอคำปรึกษา ได้ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล 02-5132889 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของมูลนิธิ" นางสาวจรีย์ กล่าว
นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ความจริงการตัดสินใจเป็นคนรักเป็นสามีภรรยา ไม่ใช่การตัดสินใจยกมอบชีวิตให้ ซึ่งชายและหญิงที่จะร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน ต้องระลึกไว้เสมอว่า ชีวิตคู่ที่เลือกนั้นไม่ได้ครอบคลุมการทำร้ายร่างกาย นั่นหมายความว่า การแต่งงานไม่ใช่ใบอนุญาตข่มขืนและใบอนุญาตให้ฆ่าหรือทำร้าย สิทธิในเนื้อตัวร่างกายเป็นสิทธิติดตัวตั้งแต่เกิด จนเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยา สิทธินั้นก็ยังเป็นของผู้หญิงตลอดไป
นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก
"การทำร้ายร่างกายโดยอ้างความรัก มันเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้หญิงทุกคนพึงระวัง และต้องเตรียมทางหนีทางออกไว้ให้ดี อย่าคิดว่าความรักที่มอบให้เขาจะหยุดความรุนแรงนั้นได้ เพราะเราอาจบาดเจ็บ พิการหรืออาจตายไปก่อน และในฐานะเพื่อนร่วมสังคม โดยเฉพาะสังคมออนไลน์ หลักการสำคัญที่ต้องยึดถือร่วมกัน คือ ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในชีวิตคู่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเพราะความรัก ความหึงหวง หรือใดๆ ก็ตาม" นางทิชา กล่าว
ขณะที่ นางสาวเอ(นามสมมติ) อายุ 33 ปี ผู้ที่เคยถูกกระทำความรุนแรงจากอดีตสามี กล่าวว่า เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอดีตสามีนานกว่า 3 ปี ต้องทนกับพฤติกรรมทำร้ายร่างกายถูกทุบตี เป็นประจำ บางวันมีรอยฟกซ้ำไม่กล้าไปทำงาน ระยะหลังเขาเริ่มดื่มเหล้าหนักขึ้น จนถูกไล่ออกจากงาน และภาระทั้งหมดตกอยู่ที่ตนต้องหาเลี้ยง เมื่อดื่มหนักขึ้นก็มีปากเสียง ทะเลาะ ด่าทอ ชอบหึงหวง คิดว่าตนนอกใจ จึงทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ ชกต่อย ใช้บุหรี่จี้แขน และถูกซ้อมจนสลบ รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานถึง 20 วัน จากนั้น ฝ่ายชายมาง้อ ด้วยรักจึงให้โอกาส เพราะคิดว่าคือพ่อของลูก กระทั่งฝ่ายชายติดคุกข้อหายาเสพติด เมื่อพ้นโทษพฤติกรรมทำร้ายร่างกายก็เกิดขึ้นอีก คือใช้มีดฟันไปที่ศีรษะ แต่ตนใช้มือบังไว้ จนทำให้เส้นเอ็นขาด ต้องไปทำกายภาพบำบัดตลอด และตอนนี้เลิกกับอดีตสามีเด็ดขาด อยากฝากเป็นบทเรียนกับสังคมว่า การอดทนเพราะรัก มันไม่ช่วยแก้ปัญหา เมื่อโดนครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไปแน่นอน ตราบใดที่ผู้ชายยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นสิ่งที่ควรทำ คือ ต้องหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือทันที หรือหากประเมินแล้วว่าเสี่ยงอันตรายก็ให้เตรียมหาหน่วยช่วยเหลือ เช่นมูลนิธิ หรือ กลไกของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ โทร 1300 ได้ เพื่อป้องกันหรือแก้ไขเมื่อสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ส่วนคนพบเห็นเหตุการณ์ร้ายอย่าเฉย มองเป็นเรื่องผัวเมีย ต้องช่วยแจ้งเหตุ เพราะความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวคุณสามารถช่วยได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี