วันนี้(18 ก.ค.) เวลา 18.00 น. ที่หอประชุมคชสาร ภายในองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เชียงราย มีการแถลงข่าวเพื่อส่งตัว “13 ชีวิตทีมหมูป่า” ทั้งหมดกลับบ้าน ในช่วงเวลาดำเนินรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ตอน “ส่งทีมหมูป่ากลับบ้าน” ซึ่งเจ้าหน้าที่ขอให้สื่อมวลชนส่งคำถามให้รับทราบล่วงหน้าแล้ววานนี้ (17 ก.ค.) เพื่อให้นักจิตวิทยาคัดกรองตามความเหมาะสม เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับสภาพจิตใจเด็ก โดยมีนายสุทธิชัย หยุ่น ดำเนินรายการ
ทั้งนี้ ผู้ฝึกสอน (โค้ช) และนักเตะทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี่ทั้ง 13 ราย ประกอบด้วย 1.นายเอกพล จันทะวงษ์ อายุ 25 ปี แบ็คขวา และโค้ชทีมฟุตบอล 2.ด.ช.อดุลย์ สามออน อายุ 14 ปี ชั้น ม.2 โรงเรียนบ้านเวียงพาน อ.แม่สาย 3.ด.ช.ประจักษ์ สุธรรม อายุ 14 ปี ชั้น ม.2 โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ 4.ด.ช.ณัฐวุฒิ ทาคำทราย อายุ 14 ปี ม.2 โรงเรียนแม่สายประสิทธิศาสตร์ 5.ด.ช.พิพัฒน์ โพธิ อายุ 15 ปี โรงเรียนบ้านสันทราย 6.ด.ช.ภานุมาศ แสงดี อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิศาสตร์ 7.ด.ช.ดวงเพชร พรมเทพ อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิศาสตร์
8.ด.ช.ชนินทร์ วิบูลย์รุ่งเรือง อายุ 11 ปี โรงเรียนอนุบาลแม่สาย 9.ด.ช.เอกรัตน์ วงค์สุขจันทร์ อายุ 14 ปี โรงเรียนดรุณราษฎร์วิทยา 10.นายพีรพัฒน์ สมเพียงใจ อายุ 16 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ 11.นายพรชัย. คำหลวง อายุ 16 ปี โรงเรียนบ้านป่ายาง 12.ด.ช.สมพงษ์ ใจวงค์ อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ และ 13.ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม อายุ 13 ปี ชั้น ม.1 โรงเรียนบ้านป่าเหมือด
บรรยากาศก่อนแถลงข่าวมีการเดาะบอลโชว์จากเยาวชน ซึ่งบริเวณการแถลงข่าวมีการจดเตรียมเป็นสนามบอลจำลองด้วย นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพยาบาลเชียงรายราชนุเคราะห์ เล่ารายละเอียดวิดีโออำลาของเยาวชนทีมหมูป่าที่มีต่อคณะแพทย์และพยาบาล เมื่อคืนวันที่ 17 ก.ค. ว่า ภาพที่เห็นการเล่นฟุตบอลเมื่อตอนต้นรายการคงพิสูจน์ได้ว่า เด็กๆ สุขภาพดีขึ้นแค่ไหน โดยตั้งแต่เข้า รพ.ตั้งแต่วันอาทิตย์-อังคาร ทีมแพทย์มีกิจกรรมเสริมสร้างกำลังใจให้กับเด็ก ที่ผ่านมาแม้เจอวิกฤต แต่ทุกคนไม่มีอาการท้อถอยเหมือนคนอื่น มีความแข็งแรง เข้มแข็งภายในจิตใจ ส่วนในด้านจิตวิทยาก่อนออกจาก รพ.ได้จัดให้พบแพทย์พยาบาลที่ไว้ใจก่อนออกมาเผชิญสังคมภายนอก เพื่อถ่ายทอดความรักความห่วงใยและความรู้สึก เป็นการขอบคุณต่อหน้าครั้งแรก จะถือว่าเป็นประสบการณ์ของเด็ก ขอบคุณทุกคนที่ดูแลเด็กๆ ก่อนเดินหน้าสู่ครอบครัวที่รออยู่อีกฝั่ง ซึ่งเด็กควบคุมอารมณ์ได้ดี
พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน หรือหมอภาคย์ ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 กล่าวว่า ตอนอยู่ในถ้ำสังเกตว่า เวลาเด็กๆ ได้อาหารไป 3-4 มื้อ เขาเริ่มมีพลัง กำลังกายเริ่มกลับมา เริ่มฟื้นตัว สิ่งที่เขาพูดกันคือเรื่องออกมานอกถ้ำ ออกมาหาอะไรอร่อยๆ กิน ไปเที่ยว หลายคนสัญญากับผมและทีมซีลว่าจะหาอะไรแปลกๆ มาให้ เช่น ไส้อั่วงู อาหารพม่า นั่นคือความพร้อมของเขาตั้งแต่อยู่ในถ้ำ มั่นใจว่ากลับไปใช้ชีวิตได้ นอกจากนี้มีการพูดคุยเบื้องต้นว่า ปิดเทอมใหญ่เด็กๆ จะไปโคราช ไปที่กองพัน เราพร้อมดูแล
จากนั้นทีมหมูป่าและทีมซีลเริ่มแนะนำตัวทีละคน นายสุทธิชัยถามว่า เมื่อทีมดำน้ำเจอกับทีมหมูป่าทั้ง 13 คน ขณะนั้นใครเป็นคนประกาศต่อนักดำน้ำว่าอยู่กัน 13 คน เห็นนักดำน้ำได้อย่างไร ทำไมถึงฟังเข้าใจและสามารถตอบได้ทันที
ด.ช.อดุลย์ สามออน กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนเย็น นั่งอยู่บนโขดหินด้านบน ได้ยินเสียงคนพูด พี่เอกบอกให้เงียบ เพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ เราหยุดแล้วฟัง ปรากฏว่าจริง ผมตกใจ พี่เอกสั่งให้มิกซ์ลงไปก่อน เพราะมิกซ์จับไฟฉายไว้ พี่เอกบอกให้รีบลงไป นี่เสียงคน เดี๋ยวเขาผ่านไป แต่มิกซ์กลัว ผมจึงแย่งไฟฉายแล้วลงไปทักทายเขา ตอนแรกคิดว่าเป็นคนไทย เห็นแล้วตกใจเพราะเป็นคนอังกฤษ ไม่รู้จะพูดอะไร เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆ ไม่รู้จะทวนคำถามอย่างไร คิดนานมาก ผมตกใจมาก เขาถามว่าสบายดีไหม ก็ตอบว่าโอเค ถามว่าให้ช่วยไหม เค้าบอกไม่ต้องให้ขึ้นไป ได้ยินชัดว่ามีกี่คนก็ตอบว่าใช่
“มันมหัศจรรย์มากๆ ผมก็ตกใจ เขาพูดมาก็ต้องทวนคำถามนานจึงตอบกลับไป เมื่อผมตอบไปว่า 13 คน เขาก็ว่าดีมาก”
นายสุทธิชัย ถามว่า เสียง “แปลหน่อยดิๆ ” คือเสียงใคร นายเอกพล หรือโค้ชเอกรับว่าเป็นเสียงตน พร้อมกล่าวว่า ตัวเองไม่รู้ภาษาอังกฤษ บอกให้น้องแปลให้หน่อย น้องบิวแปลให้ฟัง น้องตี๋บอกแปลเร็วๆ หน่อย น้องบิวบอกฟังไม่ทันครับใจเย็นๆ
นายสุทธิชัยถามต่อว่า แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไร ด.ช.อดุลย์ตอบว่า เขาให้ขึ้นไปด้านบนเนินสูง ไม่ต้องลงมา แล้วถามว่าอยู่กี่วัน เราตอบว่า 10 วัน สมองช้ามาก เพราะอยู่ตั้ง 10 วัน อังกฤษ คณิตไม่มีเลย หิวอย่างเดียว ออกไปจะกิน
“ตอนนักดำน้ำอังกฤษให้ขึ้นไปข้างบน ตอนนั้นสมองผมช้ามาก คณิต ภาษาอังกฤษ คิดไม่ออกเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่า หิว คือ บิว ซึ่ง บิว บอกว่า eatๆๆๆๆๆ อย่างเดียว”
นายสุทธิชัยถามว่าได้ดูฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศหรือไม่ โค้ชเอกบอกว่า “ดูครับ ดูสด สนุกมากครับ” ด้านน้องมาร์คกล่าวว่า ตนเชียร์ฝรั่งเศส ทีแรกไม่รู้สึกสนุก แต่พอเห็นนักกีฬาที่ชอบยิงเข้าก็ดีใจ ชอบอองตวน กรีซมันน์ เพราะเห็นเล่นเกมแล้วเขายิงเข้าได้หลายๆ ลูก
จากนั้น นายสุทธิชัย ถามว่า เข้าไปถ้ำทำไม
“โค้ชเอก” ตอบว่า ตนเป็นคนชวน แล้วเด็กๆเสนอว่าไปถ้ำหลวงเพราะไม่เคยไปกัน โดยไปอุ่นเครื่องที่บนดอยก่อน ตอน 10 โมงวันเสาร์ อุ่นเครื่องเสร็จก็ไปถ้ำ เพื่อไปศึกษาว่าในถ้ำมีอะไร ตนเคยไป แต่น้องๆบางคนไม่เคยไปเลย
ตนเคยเข้าไปพบว่าความลึกนั้นลึกมาก เลยเนินนมสาวไป ตอนไปครั้งแรกที่สามแยกมีน้ำขังนิดๆ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ตนเข้าไปก็ถามน้องว่าจะไปกันหรือไม่ มีเวลา 1 ชม. ต้องออกก่อน 5 โมง เพราะต้องส่งง “ตั้น” ไปเรียนพิเศษ ไม่ได้ไปฉลองวันเกิดใคร กรณีนี้ “น้องไนซ์” บอกว่าวันนี้วันเกิด ก่อน 5 โมงต้องถึงบ้าน ไปฉลองวันเกิดกับพ่อแม่ และชวนเพื่อนๆไปด้วย
“รู้ว่าติดในถ้ำตอนที่เดินเลยเนินนมสาวไปจนถึงเมืองลับแล หรือเมืองบาดาล ที่มารู้ชื่อทีหลัง ก็ถามเด็กๆว่าจะไปกันต่อหรือไม่ แต่ต้องว่ายน้ำเข้าไป”
จากนั้น “น้องตี๋” อาสาว่ายน้ำไปเช็คให้ว่าลึก และไกล หรือไม่ โดยเด็กส่วนใหญ่ว่ายน้ำเป็น เพราะหลังซ้อมฟุตบอล ตนจะพาไปว่ายน้ำ
ทั้งนี้ “น้องตี๋” เช็คน้ำตลอดว่าลึกหรือไม่ ซึ่งเมื่อบอกว่าไม่ลึก ทุกคนก็ทยอยตามไป และดูว่าไปได้ต่อหรือไม่ แต่เนื่องจากเกินเวลา จึงเตรียมกลับ ก็เดินกลับกันมาตามปกติ เมื่อมาถึง “สามแยก” ก็พบน้ำ ก็ยังคิดว่าเราหลงทาง ก็พยายามหาทางออก
“โค้ชเอก” บอกว่า ระหว่างหาเส้นทางนั้น ตนจะลงไปเช็คน้ำและเช็คเส้นทาง ก็ให้ถือเชือกกันไว้ ถ้าตนกระตุกเชือกคือไปไม่ได้ ตนก็มุดเข้าไปดูว่ามันออกได้หรือไม่ พบว่า ข้างล่างเป็นทราย ข้างบนเป็นหิน ตอนนั้น น้องไนซ์ กลัวไม่ได้กลับบ้าน แล้วจะโดนแม่ด่า ตนก็ให้ตั้งสติ หาทางออกไปให้ได้
ส่วนรองหัวหน้าทีมหมูป่า พูดขึ้นว่า ผมก็ได้บอกทุกคนว่า “สู้ต่อ ไม่ต้องท้อ”
โค้ชเอก เล่าต่อว่า ตนบอกน้องๆว่าเราไปไม่ได้ ต้องหาทางใหม่ จึงชวนน้องๆขุดร่อง ให้น้ำระบาย ตอนนั้นราวๆ 5 โมง ขุดเท่าไรน้ำก็ไม่ลดลง “น้องตี๋” ก็บอกให้ไปหาที่นอน เพราะเริ่มมืด ตอนนั้นน่าจะ 6 โมงกว่า
โค้ชเอก ยังบอกว่า ในตอนนั้นตนคิดว่าอาจเป็นน้ำขึ้นน้ำลง พรุ่งนี้น้ำอาจจะลดลง คิดว่าจะค้างคืนก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ โดยไม่มีอะไรที่เตรียมไปเลย เพราะกินอาหารกันที่สนามซ้อมฟุตบอลมาแล้ว
จากนั้นก็ได้ถอยจากสามแยกมาราว 300 เมตร พบเนินทราย และน้ำย้อยจากผากับหิน จึงบอกเด็กให้อยู่ใกล้แหล่งน้ำ นอนกันที่พื้นทรายตรงนั้น ก็ชวนเด็กไหว้พระก่อนนอน ไม่ได้กลัวอะไร เพราะคิดว่าพรุ่งนี้คงหาทางออกไปได้
จากนั้นนายสุทธิชัย ถามว่า เอาตัวรอดกันอย่างไร
เด็กๆ ตอบว่า หาแหล่งน้ำกินในถ้ำ โดยหากินจากตรงที่เป็นหินย้อย เชื่อว่าน้ำสะอาด รสชาติเหมือนน้ำทั่วไป อาหารไม่มี ตอนนั้นกินน้ำอย่างเดียวเลย วันแรกยังไม่รู้สึกว่าอ่อนแอ ผ่านไป 2 วันเริ่มรู้สึก “โค้ชเอก” ให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ ให้ใช้ไฟฉายให้น้อยที่สุด ไฟฉายแรงๆที่น้องบางคนมี ให้ปิดไว้ก่อน ช่วงนั้นทุกคนเริ่มอ่อนแรง ไม่มีแรง หน้ามืดบ้าง และหิวมาก
“เมื่อหิวมากก็ไม่นึกถึงกับข้าว เดี๋ยวจะหิวกว่าเดิม อยากกินข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ก็ไม่นึกถึง” เด็กๆ ตอบ
โค้ชเอก เล่าต่อว่า ช่วงว่างๆก็ไปขุดผนังถ้ำ ใช้ก้อนหินขุด ขุดได้ 3-4 เมตร ขุดเพื่อหาทางออก วันที่ 4-5 มาปรึกษากันว่าจะมาหาทางออก จะไปด้านหน้าที่เป็นเมืองบาดาลหรือไม่ ซึ่งน้องๆบางคนเคยมาเข้าค่ายก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บอกว่ามีทางออกอยู่ปลายถ้ำ
“ก็มาคิดกันว่าถ้าเรามุดไปถ้าเจอทางออกก็รอด ถ้าไม่เจอก็ถูกปิดตาย จึงถอยมาเนินนมสาว เพื่อรอเจ้าหน้าที่มาเจอ ตอนนั้นมีน้ำเริ่มไหลมา ก็ให้น้องๆขึ้นที่สูงที่เนินนมสาว ไม่ถึงชั่วโมงน้ำขึ้นสูงมากเกือบ 3 เมตร ไม่ได้ยินเสียงฝน ทางข้างล่างหมดสิทธิ์ไปแน่ๆ รอเจ้าหน้าที่มาเจอ ก็คุยกันว่าไปขุดผนัง เพราะจะรออย่างเดียวไม่ได้ ก็วนกันขุดผนัง โดยก่อนขุดจะกินน้ำให้อิ่มก่อน ขุดกันทั้งวัน พอตอนเย็นจะลงมาที่เนินเพื่อมากินน้ำ แล้วขึ้นมานอน”
นายสุทธิชัย ถามต่อว่า เมื่อนักดำน้ำไปเจอ ปฏิบัติการช่วยมีอย่างไรบ้าง
“หมอภาคย์” บอกว่า เมื่อเจอแล้วทีมซีลก็ดำน้ำเข้าไปหา มีตน และซีลอีก 3 คน คือ “ใบเตย ป้อง ไมค์” คอยดูแล เพื่อให้ร่างกายพร้อม ส่วนแผนอยู่ที่กองอำนวยการด้านนอกวางแผน
“แต่สิ่งที่ไม่คิดเลยคือการดำน้ำออกไปทางเดิม จะไหวหรือ คิดจะให้โรยตัวออกจากปล่องมากกว่า ถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อน”
จากนั้น เด็กๆเล่าว่า “พี่ใบเตย” ใส่แต่กางเกงใน เอาฟรอยด์ปิดไว้ เพราะชุดเปียก ไม่ได้เตรียมกางเกงเข้าไป ก็โป๋ครับ แต่ตลก
ส่วน “พี่ใบเตย” กล่าวว่า ทาง ผบ.หน่วยซีล บอกว่า “ถ้าไม่เจอเด็ก จะไม่กลับเด็ดขาด” เราก็ทำงานเต็มที่ เมื่อพบเด็กๆก็ทดสอบกำลังใจเด็ก ถามว่า “สู้หรือไม่”
จากนั้นเด็กๆที่นั่งอยู่ได้ตอบพร้อมกันว่า “สู้”
“พี่ใบเตย” เล่าต่อว่า พอตนขึ้นไปพบเด็กได้ก็ “18+” แก้ผ้าหมด เพราะในตัวมีเพาเวอร์เจล และฟรอยด์ มียา ไฟฉาย ถ่านไฟฉายทั้งหมด ก็แจกฟรอยด์ให้เด็กๆ แต่ต้องปูพื้นด้วย นอกจากการห่ม ฟรอยด์ไม่พอ ก็ให้เด็กๆหมด เหลือเศษๆตนก็เอามาทำเกาะอก เป็น “ใบเตย อาร์สยอง” ไปเลย
จากนั้นนายสุทธิชัย ถามถึงความผูกพันของเด็กๆกับพี่ๆหน่วยซีล ซึ่งน้องๆ ตอบว่า ยามว่างๆก็เล่นเล่น “หมากฮอส” มี “พี่ใบเตย” เป็นแชมป์เรียกว่า King of Cave พวกตนก็จำแผนการเล่นของ “พี่ใบเตย” เอาไว้ ซึ่งเล่นเป็นสามเหลี่ยม
จากนั้นนายสุทธิชัย ถามต่อถึงความทรงจำต่อหน่วยซีล
“โค้ชเอก” บอกว่า ผูกพันแบบครอบครัว เพราะกินนอนด้วยกัน
ขณะที่หนึ่งใน 13 ชีวิตทีมหมูป่า บอกว่า รู้สึกกับ “พี่ใบเตย” เหมือน “พ่อ” เพราะพี่ใบเตยเรียกผมว่า “ลูก”
ด้าน “หมอภาคย์” กล่าวว่า กับเด็กๆก็สนิทสนมกันทุกคน ไม่เฉพาะผมหรือใบเตย ช่วง 9 วัน เป็นช่วงแบ่งปันซึ่งกันและกัน เราต้องไปดูแลเพื่อให้เด็กๆอยู่แล้วสบายใจ ตนและซีลบางคนก็มีลูก ก็เอ็นดูน้องๆเขาเหมือนลูก อยู่ด้วยกันมันก็ซึมซับกันไป เหมือนครอบครัว
นายสุทธิชัย ถามถึงกรณี “จ่าแซม” หรือ น.ต.สมาน กุนัน ที่สละชีวิตในภารกิจครั้งนี้
โค้ชเอก กล่าวว่า ทีมหมูป่าเศร้าหลังทราบข่าว น.ต.สมาน เสียชีวิต ตอนแรกรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ เลยเขียนความในใจบนภาพขอแสดงความเสียใจ และขอบคุณ น.ต.สมาน และครอบครัว ซึ่งพวกตนได้เขียนความในใจลงบนภาพวาดของ “พี่จ่าแซม”
“รู้สึกเสียใจกับกรณีของพี่จ่าแซม แต่ประทับใจที่ยอมสละชีวิตเพื่อเด็กทั้ง 13 คน ทุกคนเมื่อรู้ว่าพี่จ่าแซมเสียสละชีวิตให้เรา 1 ท่าน ทุกคนก็ช็อคว่ามันจริงหรือ ก็เสียใจ เหมือนตนเองเป็นต้นเหตุให้พี่จ่า และครอบครัวต้องเสียใจและเดือดร้อน”
จากนั้น “น้องไตตั้น” น้องเล็กสุดของทีมหมูป่า เป็นตัวแทนอ่านข้อความอาลัย “จ่าแซม” โดยหนึ่งในข้อความ คือ “ขอให้คุณจ่าหลับให้สบาย และขอให้ไปสู่สุคติที่ดี และขอขอบคุณจากใจจริง จากเอกพล จันทะวงษ์”
จากนั้นนายสุทธิชัย ถามถึง “บทเรียน” ที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้
“โค้ชเอก” บอกว่า ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกท่าน และทุกคน ต่อไปจะใช้สติอย่างมีประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า จะไม่ประมาท จะทำอะไรจะเช็คให้ดีก่อนว่าอะไรควร หรือไม่ควรทำ
น้องตี๋ บอกว่า จะเป็นคนดีของสังคม
ส่วนน้องอดุลย์ บอกว่า ผมคิดว่าการที่เราประมาทในชีวิต มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่าพวกตนประมาท เป็นสิ่งที่ส่งผลที่จะไม่ดีกับเราในวันข้างหน้า ต่อไปจะใช้ชีวิตไม่ประมาท จะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด
นายสุทธิชัย ถามต่อถึงความฝันในอนาคต ซึ่งเด็กส่วนใหญ่บอกว่าจะเรียนให้จบสูงๆ และบางคนยังคงฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เข้มแข้งขึ้น และอดทน เป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่ ทำให้ได้รู้คุณค่าต่างๆในตัวของตนเอง ทำให้อดทนและเข้มแข็งขึ้น ไม่ย่อท้อ
ขณะที่น้องๆอย่างน้อย 4 คน บอกว่า จะทำตามฝันเหมือนเดิม แต่อาจมีอาชีพมาเพิ่ม คือ “อยากเป็นหน่วยซีล” ที่อยากเป็นหน่วยซีล เพราะอยากช่วยคน
เมื่อถามว่าถ้ามีคนชวนกลับไปถ้ำอีก จะไปหรือไม่ ปรากฏว่าเด็กๆบางคนบอกว่า “ไม่ไปแล้วครับ”
ขณะที่ “โค้ชเอก” บอกว่า ไม่ไปครับ แต่ถ้ามีหน่วยงานชวนเป็นไกด์ก็พร้อม แต่ขอเป็นไกด์แค่หน้าถ้ำเท่านั้น
จากนั้นนายสุทธิชัย ถามถึงขั้นตอนการเลือกว่าเด็กคนใดจะได้ออกจากถ้ำก่อนและหลัง ซึ่ง Wหมอภาคย์” บอกว่า ตามแผนจะเป็น “น้องมาร์ค” ออก 6 คนแรก แต่อุปกรณ์ไม่พอจึงเหลือ 4 คน “มาร์ค” ก็ตกขบวน พอมาวันที่ 2 “มาร์ค” ก็คิวแรก แต่ไม่มีหน้ากากเด็ก “มาร์ค” จึงมาอยู่ชุดสุดท้าย “มาร์ค” ก็นอนหลับและฝันอยากกิน “โจ๊ก”
ด้าน “โค้ชเอก” กล่าวว่า การเลือกคนที่จะออกมานั้น ตนกับพี่ๆหน่วยซีลได้หารือกัน ตนก็บอกว่าใครออกก่อนก็ได้ ชุดแรกเป็น “สายใน” คือ ใครอยู่บ้านไกลให้ออกมาก่อน สายในก็คือ “บ้านเวียงหอม” เพราะบ้านอยู่ไกลมาก ซึ่งวางแผนกันไว้ว่าออกไปแล้วจะ “ปั่นจักรยาน” กลับบ้าน และฝากความหวังว่าให้ไปบอกครอบครัวว่าใครจะออกมาต่อไป และให้เตรียมกับข้าวรอไว้ด้วย
“ก็เลือกคนจากการที่บ้านใครไกลกว่า ไม่ได้ดูว่าใครแข็งแรงออกก่อน ทั้งหมดเป็นไปตามความสมัครใจ” โค้ชเอก กล่าว
ส่วนหน่วยซีล ระบุว่า ให้ออกก่อน-หลังตามที่เขาสมัครใจ
ด้าน “หมอภาคย์” บอกว่า การเลือกนั้นตนคุยกับ ดร.แฮร์ริส ซึ่งเขาบอกว่าทุกคนปลอดภัย แข็งแรง เท่าเทียมกันหมด ก็หารือกันถึงว่าใครจะออกก่อนหลัง ทาง ดร.แฮร์ริส บอกว่าใครออกก่อนก็ได้ จึงให้โค้ชเอกเลือก ก็ใช้วิธี “ใครอยากออกก่อน ยกมือขึ้น”
“โค้ชเอก” กล่าวด้วยว่า เด็กๆเริ่มไม่อยากออกจากถ้ำ เพราะติดพี่ๆหน่วยซีล แต่ “หมอภาคย์” แย้งแบบติดตลกว่า ติด MRE หรือเปล่า (MRE คืออาหารสำเร็จรูปพร้อมทานของทางทหาร)
นายสุทธิชัย ถามต่อว่ามีอะไรอยากจะบอกกับพ่อแม่บ้าง ปรากฏว่าเด็กๆเกือบทุกคนได้เอ่ยปาก “ขอโทษ” ที่บอกเพียงว่าจะไปเตะฟุตบอล ไม่ได้บอกว่าจะไปเข้าถ้ำ น้องๆบอกว่า ขอโทษพ่อแม่ ที่เป็นเด็กดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่ได้บอกว่ามาเข้าถ้ำ หลังจากนี้ไปไหนจะบอก และ “ไม่เข้าถ้ำอีกแล้ว”
ขณะที่ “น้องบิว” บอกว่า อยากจะขอโทษพ่อแม่ เพราะว่าบอกผิดถ้ำ บอกว่าจะไปถ้ำนางนอน
ส่วน “น้องไตตั้น” บอกว่า อยากขอโทษครับ ออกไปต้องโดนพ่อแม่ถล่มแน่นอน
ส่วน “โค้ชเอก” บอกว่า ทุกคนบอกว่าออกไปได้โดนพ่อแม่ด่าแน่ๆ ออกไปรับรองได้นอนหน้าบ้านแน่นอน ทั้งนี้ทุกคนจะไปบวช เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ “จ่าแซม” โดยบอกว่า “พี่เอกบวชนานเท่าไร พวกผมก็บวชเท่านั้น”
จากนั้นทั้งหมดได้ร่วมกราบแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเป็นห่วงน้องๆทั้ง 13 ชีวิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี