วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
'ครูนักค้ำประกัน'ซวย! 'เพื่อนเบี้ยวหนี้ ช.พ.ค.-ศิษย์ทรยศ กยศ.'ต้องรับภาระแทน

'ครูนักค้ำประกัน'ซวย! 'เพื่อนเบี้ยวหนี้ ช.พ.ค.-ศิษย์ทรยศ กยศ.'ต้องรับภาระแทน

วันศุกร์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 13.57 น.
Tag : กยศ. ครูเบี้ยวหนี้ ครูวิภา ช.พ.ค. ดอกเบี้ยโหด ทวงหนี้ครู หนี้ครู หนี้นอกระบบ
  •  

ช่วงนี้มีเรื่องการทวง "หนี้" ออกมาเป็นระยะๆ หลังจากที่กลุ่มวิชาชีพครูรวมตัวประกาศปฏิญญามหาสารคาม เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.61 เป็นต้นไป พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค.ทั่วประเทศ 450,000 คน ร่วมกันยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.61 นี้

หลังการประกาศปฏิญญามหาสารคาม ได้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง บ้างบอกว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากครูที่เป็นแบบอย่างเป้นถึงแม่พิมพ์ของประเทศกลับมาเบี้ยวหนี้อย่างหน้าตาเฉย อีกทั้งการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มวิชาชีพครูกลุ่มนี้เหมือนไปกระตุ้นต่อมเจ้าหนี้ก็คือ "ธนาคารออมสิน" ต้องออกมาติดตามทวงหนี้ครูทันที 


 

 

*ครูผู้ค้ำประกันซวย! ต้องรับภาระหนี้แทน

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบไปถึงครู "ผู้ค้ำประกัน" หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือ "นายประกัน" ต้องเดือดร้อนไปตามๆ กันด้วย เมื่ออยู่ๆ บริษัทตามทวงหนี้ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากธนาคารได้มีหนังสือส่งไปถึงครูที่เป็นผู้ค้ำประกันให้ออกมาจ่ายชำระหนี้แทนครูที่เบี้ยวหนี้ หรือหนีหนี้ ตามวันและเวลาที่กำหนด หากไม่เช่นนั้นก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

แหล่งข่าวซึ่งเป็นครูในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเป็นผู้ค้ำประกันให้กับเพื่อนครูในโครงการ ช.พ.ค.คนหนึ่ง เปิดเผยว่า อยู่ดีๆ ความซวยก็มาถึงตน เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนได้ไปค้ำประกัน ช.พ.ค.ให้กับครูคนหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เหตุที่ตนไปค้ำประกันให้เนื่องจากตนสงสารเพื่อนครูคนนั้น ส่วนการกู้เงินคนที่จะกู้สามารถไปหาคนมาค้ำประกันได้เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นส่วนคนที่ไปค้ำประกันไม่จำเป็นต้องมีหุ้นก็ได้ ซึ่งตนก็คือหนึ่งในนั้น ส่วนการกู้เงินจะกู้ได้ตามเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนแต่ละคน ซึ่งต่างจากโครงการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่จะกู้เงินได้มากหรือน้อยเขาจะดูตามหุ้นที่สะสม หากจะกู้เงินจำนวนมากก็ต้องซื้อหุ้นสะสมเพิ่ม 

"ตอนนี้ทางธนาคารออมสินได้มอบอำนาจให้ทางบริษัทตามทวงหนี้ส่งหนังสือมาทวงถามเรื่องการชำระหนี้แล้ว เนื่องจากผู้กู้จริงถูกให้ออกจากราชการ ธนาคารออมสินจึงโทร.มาหาผู้ค้ำประกัน บอกว่าไม่สามารถติดต่อผู้กู้ได้ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเรา เพราะหากคนกู้เขาไม่จ่าย คนที่จะต้องมารับผิดชอบคือคนค้ำประกัน แบบนี้มันเหนื่อย แต่หากถ้าเราเป็นผู้กู้เองคงยอมรับตามสัญญา แต่ถ้าไม่ได้กู้แต่ต้องมาใช้หนี้ให้คนอื่นถือว่าเป็นกรรมของเรา" ครูคนนี้กล่าว

นอกจากนี้ จากการสำรวจของ "ทีมแนวงหน้าออนไลน์" พบว่ายังมีครูอีกหลายคนหลายพื้นที่ที่ตกที่นั่งลำบากกลายเป็นหนี้เช่นเดียวกับครูคนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งบางรายเป็นหนี้เกือบหลักล้านบาท บางรายมากกว่า 5 แสนบาท ขณะที่บางรายกว่า 3 แสนบาท ทั้งหมดขณะนี้กำลังถูกตามทวงหนี้จากเจ้าหนี้เช่นกัน

 

 

*สกคส.เล็งฟ้องคดีครูเบี้ยวหนี้ใน 4 พันราย

นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ในส่วนของครูที่มีหนี้วิกฤตมีอยู่ประมาณ 4,000 ราย และเข้าข่ายอาจจะถูกดำเนินการยกเลิกสัญญาและฟ้องคดีตามที่ธนาคารออมสินมีหนังสือด่วนที่ บด. 4856/2561 ลงวันที่ 18 ก.ค.61 เรื่องขอให้เร่งแก้ไขปัญหาลูกหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นหนี้ค้างชำระ และไม่เข้าร่วมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ 

โดยทางธนาคารเร่งรัดให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการยกเลิกสัญญาและฟ้องคดีให้จบภายในเดือน ก.ค.และ ส.ค.นั้น ขณะนี้ตนได้ขอให้ทางธนาคารออมสินทำรายละเอียดมาว่าในจำนวน 4,000 รายที่เข้าข่ายอาจจะถูกยกเลิกสัญญาและฟ้องคดีนั้น เป็นใครบ้าง ใครค้ำประกัน จำนวนเงินเท่าไร เพื่อจะนำข้อมูลมาหาทางออกร่วมกันในช่วงต้นเดือน ส.ค.61 นี้

"เบื้องต้นจะเจรจาขอให้ทางธนาคารออมสินอย่าเพิ่งดำเนินการฟ้องดำเนินคดีและได้สอบถามความเห็นธนาคารออมสินว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะพักชำระหนี้ทั้งต้นและดอกไปก่อน 1 ปี ซึ่งตรงนี้เป็นแนวคิดเท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อยุติ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบในจำนวน 4,000 รายนี้ ส่วนใหญ่มีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1 ล้านบาท มีบางรายที่มีหนี้ 3 ล้านบาท" นายพินิจศักดิ์ กล่าว

*ออมสินยันมีมาตรการให้ความช่วยเหลือครู

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผอ.ธนาคารออมสิน กล่าวว่า โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.เกิดขึ้นเพื่อจัดสวัสดิการให้กับสมาชิก ช.พ.ค.เพื่อชำระหนี้และนำเงินไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและบุคคลในครอบครัว การศึกษา รักษาพยาบาล และใช้จ่ายกรณีจำเป็นอื่นๆ ธนาคารออมสินได้ยื่นมือเข้ามาช่วยโดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ให้เลือกผ่อนชำระได้นาน ซึ่งในส่วนของการคิดดอกเบี้ยตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าการให้สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ทั้งธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ หรือธนาคารออมสินสามารถคิดดอกเบี้ยได้ถึง 15-28% ต่อปีแต่เงินกู้โครงการนี้คิดเพียง 5-6% ต่อปีเท่านั้นและผ่อนชำระนานสูงสุด 30 ปี

"ธนาคารออมสินอยากให้ครูที่มีปัญหาการผ่อนชำระไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด ขอให้เข้ามาแจ้งความประสงค์ เพราะธนาคาร มีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือครูที่ยืดหยุ่นผ่อนคลาย ด้วยอยากให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีวินัยทางการเงิน เพราะครูต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ สร้างคนให้เป็นคนดีมีความรู้มีวินัยให้แก่ประเทศชาติต่อไป" นายชาติชาย กล่าว

 

 

*พิษนายประกัน! ทำ "ครูวิภา" แทบหมดตัว

ปัญหาครูที่กลายเป็นหนี้เพราะไปเป็นผู้ค้ำประกันให้กับเพื่อนครูในโครงการเงินกู้ ช.พ.ค.ยังไม่เงียบลง ปัญหาของครูที่เป็นหนี้จากการเป้น "ครูผู้ค้ำประกัน" ก็เกิดขึ้นอีกราย แต่รายนี้รุ่นแรกถึงขั้นถูกกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ตามฟ้องทวงหนี้จนแทบหมดตัวและถูกเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีนำป้ายคำสั่งบังคับคดีมายึดบ้านและที่ดินจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา สาเหตุมาจากครูท่านนี้ใจดีไปเซ็นค้ำประกัน กยศ.ให้กับลูกศิษย์ ซึ่งมีฐานะยากจนเพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ได้เรียนหนังสือสูงๆ ขึ้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้น แต่กลับถูกลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเนรคุณไม่ยอมจ่ายหนี้ ทำให้ครูต้องรับภาระอยู่คนเดียวในฐานะ "ผู้ค้ำประกัน" 

ขณะที่พบว่า ปัจจุบันลูกศิษย์ของครูกลุ่มนี้หลายคนมีครอบครัว มีกินมีใช้ มีรถขับ และมีหน้าที่การงาน ใช้ชีวิตสุขสบายดี

ครูที่ว่านี้ก็คือ "น.ส.วิภา บานเย็น" หรือ "ครูวิภา" ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ที่ได้ไปค้ำประกันให้เด็กนักเรียนกว่า 60 คนในโครงการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จนเวลาผ่านไป 10 ปี ครูวิภา ได้รับหนังสือจากศาลระบุว่าให้ไปไกล่เกลี่ยในการชำระหนี้ ในฐานะผู้ค้ำ จึงเดินทางไปให้การกับศาล โดยมีลูกศิษย์บางส่วนชำระหนี้ตามที่ศาลสั่ง นึกว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะจบและไม่มีปัญหาอีก 

จนกระทั้งเมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี นำป้ายคำสั่งบังคับคดีมายึดบ้าน และที่ดินของครูวิภา เมื่อเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี จึงทราบว่ามีนักเรียนอีกประมาณ 30 คนที่ค้ำประกันไว้ไม่ยอมชำระหนี้กองทุน กยศ. ตามที่กำหนดไว้ มูลค่าหนี้เกือบ 1 ล้านบาทจึงทำให้ทาง กยศ.ต้องยื่นฟ้องศาล

ครูวิภา ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเดินทางไปที่กรมบังคับคดี เพื่อเข้าไปเจรจาระหว่างครูกับ กยศ. ว่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ระดับไหน ทาง กยศ.ได้เสนอว่าจะชะลอการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ก่อน โดยหนี้ที่มีอยู่ประมาณคนละ 25,000 บาท รวมทั้งค่าปรับเบี้ยปรับด้วย ตอนนี้เหลือเด็กที่ค้างชำระประมาณ 17-18 คน ซึ่งถ้าเด็ก 17-18 คนนี้นำเงินมาปิดบัญชีชำระหนี้ คดีความของคุณครูถือว่าจบกันบ้านก็ไม่ต้องถูกยึด วันนี้ทาง กยศ.ก็จะตามหนี้ให้แต่ไม่รู้ว่าจะตามได้มากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาคุณครูจ่ายเงินแทนรวมๆ แล้ว 92,000 บาท โดยเมื่อปี 2541 เด็กที่กู้ยืมเป็นเด็กที่ยากจนโดยตอนนั้นสอนนักเรียน 2 ห้อง

"ครูมองว่าเงินตรงนี้ถ้าเด็กได้เรียนก็จะได้ไปต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ มีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น คุณครูสามารถจำหน้านักเรียนทั้ง 60 คนได้หมด ตอนนี้ กยศ.ได้ชะลอการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ก่อนเพื่อที่ทาง กยศ.จะไปตามทรัพย์ของคนกู้ แต่ถ้าตามไม่ได้ก็จะมายึดครูเหมือนเดิม" ครูวิภา กล่าว 

 

 

*ผู้จัดการ กยศ.เตือน"คิดให้ดีก่อนค้ำประกัน"

ด้านนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือครูวิภา ในส่วนของคดีที่รอการบังคับคดีนั้นกองทุนจะดำเนินการไกล่เกลี่ยก่อนการยึดทรัพย์ ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าวจะไม่ถึงขั้นล้มละลายตามที่เป็นข่าว กองทุนขอชื่นชมคุณครูที่ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ที่ผ่านมาในการติดตามหนี้นั้นกองทุนไม่ได้ละเลยที่จะติดตามผู้กู้ยืม และได้ดำเนินการตามขั้นตอนติดตามหนี้จากผู้กู้ยืมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีแรกที่ผู้กู้ยืมครบกำหนดชำระหนี้ กองทุนจะส่งจดหมายแจ้งภาระหนี้ให้แก่ผู้กู้ยืม 

จากนั้นกองทุนจะมีจดหมายติดตามหนี้ค้างชำระ แจ้งเตือนให้แก่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์แจ้งเตือนภาระหนี้และส่งข้อความ SMS รวมถึงประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ ให้รับทราบเพื่อดำเนินการชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด และหากผู้กู้ยืมค้างชำระหนี้ จะต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 12 หรือ 18 ต่อปีของเงินต้นงวดที่ค้างชำระแล้วแต่กรณีจนถึงขั้นถูกบอกเลิกสัญญาและดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วสามารถไปขอไกล่เกลี่ยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้และชำระหนี้เป็นรายเดือนได้อีก 9 ปี หรือแม้ว่าไม่ได้ไปศาลและศาลมี คำพิพากษาให้ชำระหนี้ทั้งหมด กองทุนยังได้ให้เวลาผ่อนชำระหนี้ ตามคำพิพากษาอีกระยะหนึ่ง แต่หากผู้กู้ยืมหรือผู้ค้ำประกันไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กองทุนมีความจำเป็นต้องสืบทรัพย์บังคับคดีตามกฎหมาย มิฉะนั้นกองทุนจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเงินกู้ยืมเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน

"กองทุนจึงขอฝากเรื่องการค้ำ ประกันการกู้ยืมใดๆ ผู้ค้ำประกันจะต้องตระหนักว่าจะเป็นภาระผูกพันทางกฎหมาย และขอฝากถึงผู้กู้ยืมให้ชำระหนี้เป็นปกติ เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้องจนเดือดร้อนถึงผู้ค้ำประกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบิดา มารดา ญาติ หรือครู อาจารย์ เพราะหากค้างชำระเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดเบี้ยปรับจำนวนมากอีกด้วย" นายชัยณรงค์ กล่าว

นี่คือบทสรุปของ "ผู้ค้ำประกัน" หรือ "นายประกัน" 

 

 

*อัตราดอกเบี้ย-ค่าปรับ-การผ่อนชำระ กยศ.

สำหรับโครงการ "กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา" หรือ "กยศ." นั้น จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2538 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2539 ให้เริ่มดำเนินการกองทุนในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน ตามนัยมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ต่อมารัฐบาลได้พิจารณาเห็นความสำคัญของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามากขึ้น จึงได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 มีผลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา

สำหรับการคิดดอกเบี้ย/ค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ให้คิดตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ของเงินต้นที่เหลือหลังจากชำระงวดแรกแล้วโดยสามารถคำนวณดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นใดได้ดังนี้

"ดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นใด = เงินต้นคงค้างทั้งหมด x อัตราดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นใด x ระยะเวลาค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้" 

หากผู้กู้ยืมเงินผิดนัดชำระหนี้ผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัด ชำระหนี้ตามที่กองทุนกำหนด ดังนี้ 

1.กรณีผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน หากค้างชำระตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน ชำระค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ ร้อยละ 1 ต่อเดือนของเงินต้นงวดที่ค้างชำระ หากค้างชำระเกิน 12 เดือน ชำระค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ ร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินต้นงวดที่ค้างชำระทั้งหมด

2.กรณีผ่อนชำระหนี้เป็นรายปี หากค้างชำระไม่เกิน 1 งวดชำระค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ร้อยละ 1 ต่อเดือนของเงินต้นงวดที่ค้างชำระ กรณีผ่อนชำระหนี้เป็นรายปี หากค้างชำระตั้งแต่ 1 งวดขึ้นไปชำระค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินต้นงวดที่ค้างชำระทั้งหมด โดยสามารถคำนวณค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมจัดการกรณีผิดนัดชำระหนี้ ได้ดังนี้

"ค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการ = เงินต้นงวดที่ค้างชำระ x อัตราค่าปรับ หรือค่าธรรมเนียมจัดการ x ระยะเวลาที่ค้างชำระของงวดนั้น"

 


 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'มาริษ'เผย ประธาน ICRC ร่วมปาฐกถา'สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร'

'ธีรรัตน์'ลงพื้นที่ตรวจสร้างทางเดินริมคลองแสนแสบระยะทาง 9 กม.

'กรมชลฯ'เตือน! เตรียมระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาในช่วง 3 วันข้างหน้า

1 เดือนแห่งการขับเคลื่อนการศึกษาไทย ยกระดับหลักสูตร และการสอนเพื่อพัฒนาครู สกร.

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved