หากใครตามคดีที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ส่งเรื่องกล่าวหา นายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) กับพวก กรณีทุจริตการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์ประจำปีงบประมาณ 2558 ที่ได้จัดสรรให้วัดในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย วัดวัฒนาราม วัดอุมลอง วัดบ้านอ้อ วัดทุ่งต๋ำ วัดหาดปู่ด้าย และในจังหวัดแพร่ คือวัดศรีบุญนำ รวม 24,000,000 บาท มาให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ดำเนินการ
สำหรับคดีดังกล่าวทางป.ป.ช.ได้ใช้เวลาพอสมควรในการเปิดโปงแก๊งเปรตโกงเงินทอนวัดเหล่านี้ เพราะถือว่าคดีกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวน และหาข้อมูลหลักฐานมาเพื่อชี้มูลความผิด เนื่องจากการทุกจริตเงินทอนวัดนั้นไม่สามารถกระทำเพียงคนเดียวได้ ต้องทำกันเป็นกระบวนการ และมีการวางแผน หารือ ไว้เป็นอย่างดี
ล่าสุด ป.ป.ช.ได้ออกมาแถลงข่าวพร้อมกับชี้มูลความผิดบุคคลเหล่านี้ ประกอบด้วย “นายพนม ศรศิลป์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. มีมูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 90 และมาตรา 91 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
"น.ส.ประนอม คงพิกุล" เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน และ "นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์" เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและ ศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 90 และมาตรา 91 และมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
“นางณัฐฐาวดี ตันตยาวิสารสุทธิ” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการ ส่วนศาสนสถานและควบคุมทะเบียนวัด กองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีมูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 90 และมาตรา 91 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
“นายศิวโรจน์ ปิยรัตน์เสรี” และ “นางสาวอุบล ดิษฐ์ด้วง” มีมูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 90 และมาตรา 91 ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช.ยังส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและ ส่งรายงานเอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไปอีกด้วย
โดยวันนี้ (7 ส.ค.61) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ออกมาแถลงถึงขั้นตอนการโกงเงินทอนวัดว่า ในช่วงประมาณปลายปี 2557 พระศิวโรจน์ ปิยรัตน์เสรี เจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อในขณะนั้น ได้ติดต่อไปยังนางณัฐฐาวดี เพื่อขอความช่วยเหลือในการขอเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด และการพัฒนาวัดประจำปีงบประมาณ 2558 ซึ่งต่อมานางณัฐฐาวดี ได้นำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งยังนางสาวประนอม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน โดยนางสาวประนอม ได้แจ้งนางณัฐฐาวดี ว่าให้ไปแจ้งแก่วัดที่ต้องการเงินงบประมาณ ว่าหากวัดต้องการที่จะได้รับเงินงบประมาณจะต้องโอนเงินคืนมาประมาณ 70 – 80 % จากนั้นนางณัฐฐาวดี จึงได้ติดต่อไปยังพระศิวโรจน์ เกี่ยวกับเงื่อนไขดังกล่าว ซึ่งเมื่อพระศิวโรจน์ ได้ยอมรับเงื่อนไขแล้ว ก็ไปติดต่อวัดต่างๆ ที่ตนรู้จัก ได้แก่ ในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย วัดวัฒนาราม วัดอุมลอง วัดทุ่งต๋ำ วัดหาดปู่ด้าย และจังหวัดแพร่คือวัดศรีบุญนำ โดยอ้างว่าตนสามารถช่วยเหลือให้ได้รับงบประมาณได้ และได้แจ้งชื่อวัดทั้ง 6 วัด ประกอบด้วย วัดบ้านอ้อ ซึ่งเป็นวัดที่พระศิวโรจน์ เป็นเจ้าอาวาสเอง วัดวัฒนาราม วัดอุมลอง วัดทุ่งต๋ำ วัดหาดปู่ด้าย และวัดศรีบุญนำ ให้แก่นางณัฐฐาวดี
ต่อมานายพนม และนางสาวประนอม ได้สั่งการให้นายวสวัตติ์ บูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน ดำเนินการจัดทำเอกสารบันทึกขออนุมัติการ ใช้จ่ายเงินประจำงวด เพื่อเสนอชื่อวัดที่นางสาวประนอม ได้ติดต่อไว้แล้ว เพื่อเสนอต่อนายพนม ให้อนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด และนายพนม ศรศิลป์ ได้อนุมัติเงินงบประมาณวัดละ 4,000,000 บาท เมื่อได้มีการอนุมัติเงินงบประมาณแล้วนางสาวประนอม จึงให้นางณัฐฐาวดี ไปแจ้งพระศิวโรจน์ ว่าวัดต่างๆ จะต้องโอนเงินกลับคืนมาจำนวนเท่าใด และพระศิวโรจน์ เมื่อได้รับเงินโอนกลับคืนมาแล้วจะต้องโอนเงินต่อไปยังบัญชีของนางณัฐฐาวดี พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ และนางสาวอุบล ซึ่งในรายของพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ และนางสาวอุบลนั้น นายวสวัตติ์ ไปขอใช้บัญชีดังกล่าวตามคำสั่งของนางสาวประนอม
หลังจากนั้น พระศิวโรจน์ ได้ไปแจ้งแก่เจ้าอาวาสวัดดังกล่าวทั้ง 5 วัด และดำเนินการโอนเงินจากบัญชีของวัดดังกล่าว และวัดบ้านอ้อ ซึ่งตนเป็นเจ้าอาวาสอยู่ด้วย มายังบัญชีส่วนตัวของพระศิวโรจน์ ต่อมาพระศิวโรจน์ได้โอนเงินไปยังบุคคลที่นางณัฐฐาวดี ได้แจ้งไว้หลังจากที่ได้รับเงินแล้ว และนางณัฐฐาวดี ได้ถอนเงินให้แก่นางสาวประนอม ตามที่นางสาวประนอม ได้สั่งการ ส่วนนางสาวอุบล และพระครูวิสุทธิวัฒนกิจนั้น นายวสวัตติ์ ได้ดำเนินการพาไปถอนเงิน และเมื่อได้รับเงินแล้ว จึงนำเงินไปให้นางสาวประนอม
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ยังพิจารณา กรณีการทุจริตเงินงบประมาณเกี่ยวกับการอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ ปี 2556 จากการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน รับฟังได้ว่า เมื่อปี 2556 พศ. ได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์เกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ดี พศ. ได้โอนงบประมาณดังกล่าวผ่านวัดพระพุทธบาทตากผ้า เพื่อโอนต่อให้กับพระสุทธิพงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยเดนมาร์กพรหมวิหาร จำนวน 2 ครั้ง วงเงินรวม 5.78 ล้านบาท ถือว่าผิดตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด ที่ห้ามโอนให้กับวัดไทยในต่างประเทศ
โดยกรณีนี้มี "นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์" ผอ.พศ. (ขณะนั้น) "นายพนม ศรศิลป์" รอง ผอ.พศ. (ขณะนั้น) "นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์" ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนาสถาน พศ. (ขณะนั้น) "นายเฉลิมพล มีศิลารัตน์" ผอ.กองพุทธศาสนสถาน (ขณะนั้น) รวมถึง "พระสุทธิพงศ์" เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการพูดคุย และโอนงบประมาณ
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการจัดสรรเงิน 2 ครั้ง ดังกล่าว เป็นการพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ที่ พศ. ว่าด้วยการขอและจัดสรรเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด กล่าวคือ ไม่มีคำขอการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปี 2556 ผ่านวัดพระพุทธบาทตากผ้า และไม่มีการประชุมของคณะทำงานพิจารณาขอรับเงินอุดหนุนจริง รวมถึงการจัดรายงานการประชุมคณะทำงานฯเพื่อพิจารณาขอรับสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดปี 2556 อันเป็นเท็จ และการกระทำดังกล่าวเป็นการเบียดบังเงินทรัพย์สินของสำนักงาน พศ. เป็นของตนเองหรือผู้อื่น
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด “นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 ประกอบมาตรา 83 และผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 และผิดวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 82 (1) (2) (3) และมาตรา 85 (1) (4) (7)
“นายพนม ศรศิลป์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.พศ. มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 และเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
“นายเฉลิมพล มีศิลารัตน์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.กองพุทธศาสนสถาน และ 4.นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน มีมูลความผิดทางอาญา ตามมาตรา 157 และ 162 (1) (4) และผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 และผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ส่วน “พระสุทธิพงศ์” ไม่มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 151 157 และผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ทั้งนี้ให้ส่งรายงานและความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับคดีเงินทอนวัด มีทั้งสิ้น 81 เรื่อง ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เสร็จแล้ว 9 เรื่อง เหลือเรื่องระหว่างดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง 17 เรื่อง และอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 44 เรื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี