หากพูดถึง "อำเภอสังขละบุรี" จังหวัดกาญจนบุรี หลายคนอาจกำลังนึกถึงสะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าอันสุดมหัศจรรย์ ที่ใครไปเที่ยวสะพานมอญแล้วไม่ควรพลาดที่จะแวะไปเที่ยวเลยคือ "วัดใต้น้ำ เมืองบาดาล" ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศอยากเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ จากความเป็นธรรมชาติของเมืองแห่งนี้
"วัดใต้น้ำ เมืองบาดาล" บางคนก็เรียกว่า "วัดจมน้ำ" หรือ "วัดวังก์วิเวการามเดิม" หลายคนอาจเคยไปเที่ยวมาแล้ว ขณะที่หลายคนคิดอยากจะไปแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปสักที เพราะวัดนี้หากใครได้ไปเที่ยวกราบไหว้ขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธื์แล้ว ว่ากันว่า "จะสมดังปราถนา" ดังนั้น หากใครมีโอกาสก็รีบวางโปรแกรมไปเที่ยวเลย
"วัดใต้น้ำ เมืองบาดาล" ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 บ้านวังกะ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกสถานที่หนึ่งในประเทศไทยที่แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความอัศจรรย์ จนถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของประเทศไทย เพราะมีความแปลกที่มีซากโบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ เป็นสถานที่เล่าขานถึงตำนานความเป็นมาของวัดหลวงพ่ออุตตมะ จนหลายคนเรียกกันว่า "วัดบ้านเก่า" หรือ "เมืองบาดาล" นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายนเป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำหลังเขื่อนลดลงมากจะสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ณ บริเวณสามประสบ
ส่วนคนที่มาเที่ยวช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่ประมาณตุลาคม-มกราคม อาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ หรือบางทีก็จมน้ำเป็นเมืองบาดาล จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำ
วัดวังก์วิเวการามเดิมนี้สร้างขึ้นในปี 2498 เป็นวัดที่เกิดจากพลังความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่ออุตตมะ จุดที่ตั้งของวัดนี้อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือ บริเวณเนินที่มีแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี มารวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
แม่น้ำบิคลี่ เกิดจากลำห้วย ทางทิศตะวันออกของลำน้ำแควน้อย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่สำคัญ แม่น้ำมีความยาวประมาณ 70 กิโลเมตร บริเวณริมน้ำเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนชาวมอญ
แม่น้ำซองกาเลีย เป็นแม่น้ำจากทางตอนเหนือ คำว่าซองกาเลีย ภาษามอญหมายถึง "ฝั่งโน้น" เกิดจากแม่น้ำซองกาเลียในพม่าและห้วยโรคี่จากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำมีความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร ท้องน้ำลาดชัน มีเกาะแก่งหลายแห่ง สองฝั่งลำน้ำเป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์
แม่น้ำรันตี เป็นภาษากะเหรี่ยง หมายถึง "ยอดน้ำ" ต้นน้ำเกิดจากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ความยาวแม่น้ำประมาณ 60 กิโลเมตร ท้องน้ำลาดชันไม่มาก สถาพป่าสองฝั่งแม่น้ำยังอุดมสมบูรณ์ มีหน้าผาหินปูนกว้างใหญ่หลายแห่ง บริเวณริมน้ำมีบ้านเรือนชาวลาว-พม่า
ในปี 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีโครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อเขื่อนเขาแหลม เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเมื่อเก็บกักน้ำหลังเขื่อนแล้ว ระดับน้ำเพิ่มขึ้นจนท่วมตัวอำเภอเก่า ในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ หมู่บ้านชาวมอญอีกกว่า 1,000 หลังคาเรือน รวมถึงวัดวังก์วิเวการามเดิม ทางการจึงได้อพยพชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ออกจากบริเวณที่น้ำท่วม และย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยในปัจจุบัน บริเวณวัดเดิม ถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันในนามของ "วัดใต้น้ำ" หรือ "เมืองบาดาล" ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแบบ Unseen Thailand
ปัจจุบันบริเวณสามประสบนี้กลายเป็นแอ่งน้ำใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน จึงทำให้ไม่สามารถเห็นเป็นจุดบรรจบของสามสายน้ำได้ชัดเจนอีกแล้ว ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบริเวณวัดใต้น้ำจะต้องนั่งเรือที่เช่าเหมาลำ เพื่อมาจุดที่เคยเป็นวัดวังก์วิเวการามเก่านี้เท่านั้น
ในช่วงหน้าแล้งช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม น้ำในแม่น้ำลดลงมากจนสามารถเดินเข้าไปในโบสถ์เก่าได้ สิ่งที่เหลือไว้ให้เห็นเป็นส่วนของกำแพงด้านนอกโบสถ์ ตัวโบสถ์เหลือเพียงผนัง ไม่มีส่วนหลังคาโบสถ์ให้เห็น ภายในผนังโบสถ์ยังมีให้เห็นลวดลายศิลปะแบบมอญหลงเหลือให้เห็น เป็นลายซุ้มองค์พระพุทธรูปอยู่ตามผนัง แต่เดิมมีทั้งหมด 2500 องค์ แต่ก็มีหลายส่วนที่หลุดหายออกไปเพราะโดนน้ำเซาะบ้าง หลุดหล่นลงมาแตกบ้าง ช่องประตูหน้าต่าง ยังเห็นร่องรอยกรอบของซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลวดลายปราสาทยอดแหลม ด้านหน้าโบสถ์ยังเหลือส่วนที่เคยเป็นบันไดทางขึ้น
ส่วนซุ้มประตูทางเข้าเขตอุโบสถ มีให้เห็นเพียงซุ้มประตูบางด้าน บริเวณด้านนอกโบสถ์จะเห็นเศียรพระหักวางไว้ ส่วนภายในมีรูปถ่ายหลวงพ่ออุตตมะให้นักท่องเที่ยวได้สักการะบูชา ซึ่งจะมีเด็กๆ ชาวมอญคอยเดินขายดอกไม้ และคอยเป็นไกด์ให้ด้วย
สำหรับในช่วงหน้าหนาว หรือหลังฤดูฝน การชมวัดใต้น้ำทำได้เพียงล่องเรือไปในบริเวณใกล้กับโบสถ์ ซึ่งอาจจะเห็นผนังโบสถ์บางส่วนโผล่พ้นน้ำ หรือในฤดูน้ำมากก็อาจไม่เห็นเลย จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำ หรือในฤดูน้ำมากก็อาจไม่เห็นเลย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบางคนจัดเป็นทริปดำน้ำเพื่อดูโบสถ์ใต้น้ำก็มี
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวความเป็นมาของวัดจมน้ำ ใครอยากไปสัมผัสก็ไม่ควรพลาด แต่ถ้าจะไปเที่ยวควรศึกษาดูก่อนว่าช่วงไหนน้ำขึ้นช่วงไหนน้ำลด เพื่อป้องกันไปเก้อ
-ภาพ/ข้อมูลจาก ททท.กาญจนบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี