ช่วงนี้ในสังคมไทยต้องบอกว่าคึกคักเหลือเกินในทางการเมือง..แม้รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะยังไม่ปลดล็อกทางการเมืองเต็มรูปแบบก็ตาม เพราะเพียงการคลายล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้บางส่วนก็ปรากฏท่าทีชัดเจนไม่ว่าการ “แตกตัว” กระจายจากพรรคใหญ่เป็นพรรคสาขาเพื่อปรับตัวรับมือกติกาการเลือกตั้งแบบใหม่ที่จะไม่มีพรรคใดชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงพรรคเดียวอีกต่อไป เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการประกาศชัดเจนว่าพรรคไหนขั้วใดจะ “หนุน - ต้าน คสช.” หลังการเลือกตั้งอีกต่างหาก
แต่ก่อนที่ปวงชนชาวไทยจะได้เลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 ตามที่ “ลุงตู่ - บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ย้ำหลายครั้งตาม “โรดแม็ป” ประเทศที่เป็น 1 ในดินแดนอุดมคติของใครหลายคนอย่าง ภูฏาน เพิ่งมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 16 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมา โดย พรรคดรุก นัมรับ ซ็องพา (Druk Nyamrup Tshogpa - DNT) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งสำคัญอย่าง พรรคดรุค พึนซัม ทโชกพา (Druk Phuensum Tshogpa - DPT) อย่างท่วมท้น 30 ต่อ 17 ที่นั่งในสภา
แม้การเลือกตั้งเพื่อหารัฐบาลมาบริหารประเทศจะจบลงไปแล้วด้วยผลข้างต้น และยังเป็นการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ 3 แล้วนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อปี 2551 แต่สำหรับชาวภูฎานบางส่วนกลับมองว่า “การเมืองแบบประชาธิปไตยทำสังคมวุ่นวาย” และโหยหาวันเวลาแห่งความสงบเรียบง่ายเมื่อครั้งยังอยู่ภายใต้ระบอบเดิม
เว็บไซต์ นสพ.เดอะวอชิงตันโพสต์ (The Washington Post) สื่อมวลชนเก่าแก่สำนักหนึ่งของสหรัฐอเมริกา นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “In tiny Bhutan, known for its pursuit of happiness, democracy brings discontent” ว่าด้วยเสียงสะท้อนของชาวภูฏานส่วนหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็น “ผู้สูงวัย” ซึ่งไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการแข่งขันทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ตามวิถีประชาธิปไตย อาทิ เชนโช ดอร์จิ (Chencho Dorji) วัย 68 ปี กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในแง่ความสงบและความสามัคคี ระบอบเดิมนั้นดีกว่า” เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?..ชาวภูฏานผู้นี้ให้เหตุผลว่า เมื่อมีการแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คนในหมู่บ้านเริ่ม “แบ่งฝักแบ่งฝ่าย” ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองใด ขณะที่ทางฝ่ายพรรคการเมืองเองก็เร่งหาเสียงด้วยการสัญญาจะทำสิ่งต่างๆ เช่น พรรคหนึ่งประกาศว่าถ้าได้รับเลือกตั้งจะทำถนนให้สามารถสัญจรไปมาอย่างสะดวกได้ภายใน 3 เดือน ส่วนอีกพรรคก็ประกาศว่าจะยกระดับโรงเรียนในชุมชนจากที่เป็นเพียงโรงเรียนประถมศึกษาให้ขยายไปเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตามผู้คนบางส่วนไม่เชื่อว่าทั้ง 2 นโยบายจะเป็นไปได้
ชนบทในภูฏาน
เป็นที่ทราบกันดีว่าภูฏานเลือกใช้ “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH) ซึงอิงกับ “วิถีเรียบง่ายตามแนวศาสนาพุทธ” เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิตของผู้คนในประเทศแทนที่จะเป็น “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” (Gross Domestic Product - GDP) อย่างที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้กันซึ่งอิงกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมบวกวัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม
แต่เมื่อประเทศเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งยังใหม่มากกับช่วงเวลาเพียง 10 ปี พบว่าเกิดกระแส “ความสุขลดลง” จากหลายสาเหตุ อาทิ บรรดานักการเมืองภูฏานได้ไปให้สัญญาต่างๆ อย่างฟุ่มเฟือยกับประชาชน อีกทั้งในสื่อออนไลน์ยังมีการตั้งข้อกล่าวหาโจมตีกันไปมาซึ่งหลายเรื่องหาที่มาที่ไปไม่ได้ รวมถึงยังมีความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของภูฏานในเวทีโลก จึงไม่แปลกใจที่จะมีผู้คนบางส่วนคิดถึงวันเก่าๆ ที่สงบสุข
โดยนอกจากเชนโช ดอร์จิ ที่เป็นชาวบ้านในชนบทแล้ว คาร์มา เทนซิน (Karma Tenzin) วัย 58 ปี ผู้อาศัยอยู่ในกรุงทิมพู (Thimphu) เมืองหลวงของภูฏาน ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่คิดเห็นเช่นกันว่าภูฏานภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ รวมถึง ดอร์จิ เพม (Dorji Pem) วัย 66 ปี ผู้อยู่ในทางตอนเหนือของเมืองหลวง กล่าวว่า “พรรคการเมืองมาที่บ้านของเราแล้วทำให้เรารู้สึกไม่ดี มันทำให้ระคายเคืองและศีรษะแทบจะระเบิดออก” เป็นต้น
รายงานของเดอะวอชิงตันโพสต์ ระบุว่า “แม้ภูฏานจะมีประชากรยากจนกว่า 7.5 แสนคน แต่ก็เลือกแนวทางพัฒนาประเทศที่มีลักษณะเฉพาะตัว” เช่น จำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะไปเยือนผ่านมาตรการเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงมาก นอกจากนี้ยังบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะต้องรักษาพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 60 ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด นั่นทำให้ภูฏานกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
อนึ่ง “ความน่าสนใจของการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในภูฏานนั้น คือแทนที่จะมาจากเสียงเรียกร้องของประชาชนอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ กลับกลายเป็นฝ่ายสถาบันกษัตริย์ที่ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงเสียเอง” โดยเป็นพระราชประสงค์ของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) ก่อนที่พระองค์จะสละราชสมบัติในปี 2549 ให้องค์รัชทายาท สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) เสด็จขึ้นครองราชย์แทนจนถึงปัจจุบัน
ทิมพู (Thimphu) เมืองหลวงของภูฏาน
การเลือกตั้งในภูฏานนั้นมีกฎระเบียบหลายประการ เช่น นักบวชไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ออกเสียงเนื่องจากถูกมองว่าควรจะอยู่เหนือการเมือง ห้ามหาเสียงหลังเวลา 18.00 น. ห้ามหาเสียงในลักษณะโจมตีคู่แข่ง รวมถึงห้ามหาเสียงในประเด็นละเอียดอ่อนอย่างความใกล้ชิดกับอินเดีย แม้กระทั่งรูปแบบการณรงค์หาเสียงก็ยังแปลกกว่าในประเทศอื่นๆ อาทิ ไม่มีป้ายหาเสียงเว้นแต่ตามกระดานประกาศของสาธารณะ ทำให้บรรยากาศการแข่งขันของพรรคใหญ่ทั้ง 2 ดูจะไม่ค่อยดุเดือดเท่าใดนัก
แต่ก็พบเรื่องร้องเรียนกรณีการหาเสียงในลักษณะโจมตีคู่แข่งระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยกันอยู่บ้างแม้ระดับความรุนแรงจะไม่เท่าการเลือกตั้งในสหรัฐก็ตาม ซึ่งมี 2 กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ของภูฏานลงโทษด้วยการปรับเงิน นอกจากนี้ภูฏานเองก็ไม่ต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เมื่อการเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง โดยชาวภูฏานนั้นเพิ่งได้รับอนุญาตให้ครอบครองโทรทัศน์ได้ในปี 2542
โซนัม ทบเก (Sonam Tobgay) เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้หนึ่งของ กกต.ภูฏาน กล่าวว่า “การใช้สื่อออนไลน์ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือผู้ใช้สามารถโพสต์ข้อความได้อย่างไม่ต้องระบุตัวตน ทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันในสังคม” ทั้งนี้รัฐบาลภูฏานมีหนังสือร้องขอไปยัง “เฟซบุ๊ค (Facebook)” ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของโลก ให้ระงับการใช้งานแฟนเพจจำนวน 7 เพจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนขั้วการเมืองทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยเหตุผลว่าเพจเหล่านั้นเผยแพร่ข้อความในลักษณะเป็นข้อมูลเท็จและสร้างความเกลียดชัง
ดังตัวอย่างหนึ่ง โลเท เชอริง (Lotay Tshering) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะ ในฐานะประธานพรรค DNT ซึ่งเป็น 1 ใน 2 พรรคที่ผ่านการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อ 15 ก.ย. 2561 คู่กับพรรค DPT และต้องมาชิงชัยกันอีกครั้งในการเลือกตั้งรอบที่ 2 ในอีก 1 เดือนให้หลัง เปิดเผยว่า มีการโพสต์ข้อความโจมตีโดยกล่าวหาตนว่าเป็น “คนโกหกและขี้โกง” ในโลกออนไลน์ และคาดว่าข้อความเหล่านั้นถูกออกแบบโดยฝ่ายคู่แข่งทางการเมืองของตน
ไม่ต่างกับทาง พีมา กิยามโช (Pema Gyamtsho) ประธานพรรค DPT ที่แม้จะแสดงความยินดักับชัยชนะของพรรค DNT แต่ก็กล่าวเช่นกันว่าตนต้องเผชิญกับการโจมตีจากผู้ไม่ระบุตัวตนบนโลกออนไลน์ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง “แม้เรื่องนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน แต่ก็น่าจะไม่ต้องทำมันก็ได้ในสังคมเล็กๆ” เพราะทุกคนควรกังวลเรื่องความแตกแยกและความไม่สงบเรียบร้อย
ดอร์จิ เพนโจเร (Dorji Penjore) หัวหน้าศูนย์ศึกษาความสุขมวลรวมประชาชาติแห่งภูฏาน (Center for Bhutan and Gross National Happiness Studies) ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการของรัฐบาลภูฏาน ให้ความเห็นว่า “ประชาธิปไตยในภูฏานกำลังเดินทางไปทำงาน แต่โดยธรรมชาติมันก็มีราคาที่ต้องจ่าย” ทั้งนี้หากประเทศใดมีรูปแบบของประชาธิปไตยแล้วทำให้ผู้คนมีความสุขได้ภูฏานก็จะทำเช่นนั้น โดยก่อนที่ความสุขจะถูกนำไปบรรจุเป็นหลักสูตรในสถาบันการศึกษาของสหรัฐ ในภูฏานได้ถือเป็นหัวใจของการออกนโยบายบริหารประเทศแล้ว
นักวิชาการผู้นี้อธิบายเพิ่มเติมว่า “ลักษณะบางประการของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมีความขัดแย้งกับกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวภูฏานที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ” กล่าวคือ “ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องย้ำถึงจุดแข็งของฝ่ายตนและจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม เพราะในการแข่งขันทางการเมืองระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ความอ่อนน้อมถ่อมตนหมายถึงการฆ่าตัวตาย” ซึ่งการแข่งขันแบบนี้ทำให้ชาวภูฏานที่มีอายุมากรู้สึกอึดอัดใจ
“ศาสนาพุทธ” รากฐานทางวัฒนธรรมของชาวภูฏาน
รายงานของเดอะวอชิงตันโพสต์ ทิ้งท้ายไว้ว่า หากกมองไปโดยรวมทั่วประเทศ ภูฏานมีปัญหาว่างงานและระบบสาธารณสุข ส่วนในเขตอื่นๆ เช่น ชุนจี (Chunje) ที่อยู่ห่างจาก ปาโร (Paro) เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไปราว 12 ไมล์ (ราว 19 กิโลเมตร) ชาวบ้านก็มีปัญหาขาดแคลนน้ำ ปัญหาหมูป่าเข้ามากินพืชผลทางการเกษตรในไร่นา รวมถึงสภาพถนนที่สัญจรไปมาลำบาก ซึ่ง ภุพ เชอริง (Phub Tshering) ผู้สมัครจากพรรค DPT ที่กำลังหาเสียงอยู่ กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดมาจากคำโกหกของฝ่ายพรรค DNT และขณะนี้ถึงเวลาเอาคืนแล้วด้วยฝ่ายของตน
“มองกูฏานแล้วย้อนดูเมืองไทย” สำหรับการเลือกตั้งของไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 “เสียงสะท้อนของคนไทยจำนวนมากคือรอคอยและขออย่าให้เลื่อนไปอีกเลย” เพราะต้องการให้มีรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หลังจาก 4 ปีเศษๆ ของรัฐบาล คสช. แม้จะได้รับเสียงชื่นชมว่าทำให้บ้านเมืองสงบไม่มีความรุนแรงทางการเมือง แต่ในด้านการแก้ปัญหาปากท้องรายได้ค่าครองชีพของประชาชนนั้นผลคะแนนจากโพลทุกสำนักเห็นตรงกันว่าสอบตกอย่างเป็นเอกฉันท์โดยเฉพาะความเห็นของผู้ที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจฐานราก
อย่างไรก็ตาม “ไม่ควรมองข้ามความเห็นของคนอีกไม่น้อย..ที่กังวลว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วประเทศไทยจะกลับไปสู่สภาวะสงครามเสื้อสีอีกหรือไม่? จะมีม็อบปิดถนน มีการชุมนุมยิดเยื้อยาวนานอีกหรือเปล่า?” ซึ่งที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ได้สะท้อนผ่านโลกออนไลน์อยู่เสมอเมื่อรัฐบาล คสช. พูดถึงการเลือกตั้งเองก็ดี หรือเมื่อมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนที่อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ ก็ตาม
คงต้องฝากบรรดาพรรคการเมืองไม่ว่าขั้วไหนที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งให้คิดถึงมุมนี้ไว้ด้วย เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงสะท้อนในมุมกังวลเรื่องความวุ่นวายทางการเมือง อีกทั้งความกลัวต่อการทุจริตของนักการเมืองนี่เอง ที่ทำให้ “รัฐบาลที่มาด้วยวิธีพิเศษ” อย่าง คสช. ได้รับเสียงสนับสนุนมายาวนานกว่า 4 ปี รวมถึงไม่แน่ว่า “วิธีพิเศษเช่นนี้จะกลับมาอีกในอนาคตหรือไม่?” หากการเมืองไทยยังมีสภาพอย่างที่ผ่านมา!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
เรียบเรียงเนื้อหาและภาพประกอบจาก : https://www.washingtonpost.com/world/asia_pacific/in-tiny-bhutan-known-for-its-pursuit-of-happiness-democracy-brings-discontent/2018/10/17/05e43118-d229-11e8-a275-81c671a50422_story.html?noredirect=on&utm_term=.116f45f7431d
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี