“ถ้าระบบขนส่งมวลชนสะดวกสบายและเพียงพอ..ใครบ้างอยากจะซื้อรถมาขับ” เป็นเหตุผลที่พบได้ทั่วไปของคนไทยเมื่อพูดถึงปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่าง กรุงเทพมหานคร (บางกอก - Bangkok) ที่ติดอันดับต้นๆ ของโลกในฐานะ “เมืองรถติด” ทุกปี ซึ่งหากถามว่าทำไมหลายคนต้องกัดฟันผ่อนรถยนต์หรืออย่างน้อยๆ ก็มอเตอร์ไซค์ก็มักจะตอบอย่างข้างต้น เพราะรถเมล์ก็มาช้า รูปแบบการขับถ้าไม่ซิ่งปาดซ้ายปาดขวาราวกับเป็นรถแข่งก็ช้าหวานเย็นถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง บางเส้นทางก็ไม่มีรถเมล์ และรถไฟฟ้า - รถไฟใต้ดินค่าโดยสารก็ไม่ใช่ถูกๆ
แน่นอนว่าในบรรดาการบ่นของประชาชนคนกรุงเทพฯ ก็ยังมีการบอกว่า “ขนส่งมวลชนเป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะเป็นประเทศพัฒนา?” ซึ่งก็ต้องบอกว่า “ถึงเป็นประเทศพัฒนาก็ใช่ว่าระบบขนส่งมวลชนจะดีเสมอไป” ดังที่เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ นำเสนอรายงานพิเศษ “Exploding buses, collapsing escalators – what's the matter with Rome's transit?” ว่าด้วยสารพันปัญหาระบบขนส่งมวลชนใน กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกด้วยอายุกว่า 2 พันปี
รายงานข่าวเปิดเรื่องด้วยเหตุ “ไฟไหม้รถเมล์ในกรุงโรม” โดยระบุว่ายังไม่ทันสิ้นปี 2561 ก็เกิดไปแล้ว 10 ครั้งแม้ยังไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย ขณะที่ปี 2560 เกิดเหตุ 22 ครั้ง และปี 2559 เกิดเหตุ 14 ครั้ง และส่วนใหญ่ทางการมักสรุปด้วยสาเหตุอันคุ้นหูในข่าวไฟไหม้อย่าง “ไฟฟ้าลัดวงจร” ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไปดูระบบชำระค่าโดยสารก็จะพบปัญหาทั้งเครื่องชำระเงินผ่านบัตรโดยสารไม่ยอมรับบัตร แถมพอจะจ่ายด้วยเหรียญก็ดันกินเหรียญอีกต่างหาก อีกทั้งกล่าวถึงเหตุบันไดเลื่อนในสถานีรถไฟใต้ดินเกิดทรุดถล่ม ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายเมื่อเดือน ต.ค. 2561
ศ.อันเดรีย จูริซิน (Prof. Andrea Giuricin) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานขนส่ง มหาวิทยาลัยมิลาน บิซอซซา (Milan’s Bicocca University) กล่าวว่า กรุงโรมใช้จ่ายด้านการเดินทางเฉลี่ย 7.4 ยูโร (ราว 274 บาท) ต่อกิโลเมตร ขณะที่เกณฑ์ดีที่สุดของทวีปยุโรปอยู่ที่ 2.8 ยูโร (ราว 104 บาท) ต่อกิโลเมตร โดยเมื่อ 11 พ.ย. 2561 ชาวกรุงโรมเพิ่งมีการลงประชามติสะท้อนปัญหาระบบขนส่งมวลชนในเมืองให้ผู้บริหารเมืองได้รับทราบ
รายงานของ The Guardian เล่าต่อไปว่า ระบบขนส่งมวลชนในกรุงโรมล้าหลังกว่าเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ในยุโรป อาทิ แม้จะมีรถไฟใต้ดินสาย A และ B แต่ทั้ง 2 สายไม่ได้เชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดินสาย C แถมยังไม่ครอบคลุม โดยรองรับผู้คนได้เพียง 2.8 ล้านคน ขณะที่บริษัท Rome Transport Company (Azienda del Trasporto Autoferrotranviario del Comune di Roma - ATAC) ที่บริหารจัดการระบบขนส่งในเมืองนั้นมีสำนักงานสภาเมืองกรุงโรมเป็นเจ้าของ ก็มีปัญหาหนี้สะสม 1.4 พันล้านยูโร (ราว 5.18 หมื่นล้านบาท) และมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก
ที่ผ่านมามีการเรียกร้องให้การจัดทำบริการขนส่งมวลชนในกรุงโรมดำเนินการแบบโปร่งใสและเปิดกว้าง อาทิ การติด hashtag ว่า #BastAtac ซึ่งหมายถึง “หยุด ATAC” ในหมู่ผู้ใช้สื่อออนไลน์ รวมถึงโพสต์ภาพรถเมล์ระเบิดไฟลุกไหม้ประกอบ โดย ริคาร์โด มาจี (Riccardo Magi) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากพรรค Italian Radicals ผู้เปิดหัวข้อรณรงค์นี้ อธิบายว่า ระบบขนส่งมวลชนวันนี้ล้มเหลว มันได้สร้างความหายนะและทุกคนก็มองเห็น
แต่อีกด้านหนึ่ง ส.ส.ริคาร์โด ระบุว่า เวอร์จิเนีย รัจจี (Virginia Raggi) นายกเทศมนตรีกรุงโรม เคยกล่าวเมื่อช่วงหาเสียงเลือกตั้งในปี 2559 สนับสนุน ATAC และทาง ATAC ที่มีพนักงาน 11,000 คนก็สนับสนุนเวอร์จิเนียเช่นกัน เห็นได้จากมีตัวแทนจาก ATAC หลายคนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาเมือง ทั้งที่ ATAC ไม่เคารพสัญญาการให้บริการที่ทำกับสภาเมือง นอกจากนี้ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตการลงประชามติ ที่นายกฯ รัจจี กำหนดไว้ที่ร้อยละ 33 ของผู้ลงคะแนน เพื่อให้เอื้อต่อการสนับสนุนนโยบายการบริหารของตนต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับ ฟรานเชสโก ดิ จิโอวานนี (Francesco Di Giovanni) พนักงาน ATAC ที่เคลื่อนไหวรณรงค์ด้วยคำขวัญ “Mejo De Nol” อันมีความหมายในภาษาโรมันว่า “ไม่..จะดีกว่า” ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตนไม่ได้ทำในนามสหภาพแรงงาน และอยากหัวเราะกับข้อกล่าวหาที่ว่า ATAC อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว ถึงกระนั้นเมื่อดูรายละเอียดของการณรงค์ภายใต้คำขวัญดังกล่าว พบเนื้อหาเป็นการคัดค้านการประมูลสัมปทานแบบเปิด และสนับสนุนระบบเดิมที่ให้เมืองเป็นผู้บริหารเอง โดยอ้างว่าเมืองทุกเมืองต่างมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว
ด้วยความที่กรุงโรมเป็นเมืองเก่า ดังนั้นจึงมีการผสมผสานกันระหว่างสิ่งก่อสร้างโบราณกับอาคารสมัยใหม่ การพัฒนาเมืองจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เปาโล อาร์เซนา (Paolo Arsena) สถาปนิกผู้ก่อตั้งกลุ่ม Metrovia เมื่อปี 2559 เพื่อเรียกร้องการปรับปรุงระบบรถไฟใต้ดิน กล่าวว่า โบราณสถานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญอยู่ที่สภาพของเมือง กรุงโรมนั้นมีเขตเมืองที่หนาแน่นในบางส่วนและมีชุมชนย่อยๆ ที่มีคนไม่มากนักแตกกระจายกิ่งก้านออกไป จึงต้องพึ่งพาระบบขนส่งทางถนน
กลุ่ม Metrovia นำเสนอแผนปฏิรูประบบขนส่งทางรางทั้งระบบไปเมื่อ 3 พ.ย. 2561 อาทิ การก่อสร้างรถไฟใต้ดิน 10 สายทั่วกรุงโรม และบูรณาการร่วมกับระบบรถไฟที่ใช้เดินทางระหว่างเมืองต่างๆ ในอิตาลี เพื่อให้สมกับเป็น “เมืองหลวงแห่งยุโรป” นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า กรุงโรมหลายปีมานี้บริหารจัดการได้ย่ำแย่จากการมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ และตอนนี้เมืองต้องการวิสัยทัศน์อย่างมาก
ฉะนั้นแล้ว “เราจะไม่เดินเพียงลำพัง” อย่างน้อยๆ ชาวกรุงเทพฯ ก็ยังมีชาวกรุงโรมเป็นผู้ร่วมชะตากรรม “หัวอกเดียวกัน” ในการต้องทนกับระบบขนส่งมวลชนที่ไม่สมประกอบไปอีกนาน!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก : https://www.theguardian.com/cities/2018/nov/10/exploding-buses-collapsing-escalators-whats-the-matter-with-romes-transit
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี