สัปดาห์นี้ยังคงอยู่กันที่งานสัมมนา จัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ร่วมกันคิดสู่แนวปฏิบัติ หลังจากเมื่อตอนที่แล้วว่าด้วยตัวอย่างแผงค้าที่มีประวัติดีแต่กลับต้องมาต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีการทำมาหากิน (“อ่อนนุช 70”จากแผงค้าดีเด่น สู่การต่อสู้ให้รอดพ้นถูกกวาดล้าง :หน้า 17 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 3 ธ.ค. 2561)ส่วนครั้งนี้จะชวนรับฟังมุมมองของนักออกแบบเมือง ว่าหากต้องยอมรับหาบเร่แผงลอยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองต้องทำอย่างไรบ้าง
ในงานสัมมนาดังกล่าว อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสภาพแวดล้อมของเมือง ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ้างถึงงานวิจัยพื้นที่ค้าขาย 2 จุด คือ 1.ปากคลองตลาดในยุคที่ยังมีการค้าขายดอกไม้อย่างคึกคัก ผู้คนก็ยังเลือกเดินบนเส้นทางที่เป็นแผงค้านั้นเองแทนที่จะเลือกเดินในอีกเส้นทางหนึ่งที่อยู่บริเวณเดียวกันเหตุเพราะเส้นทางนั้นมืดและเปลี่ยว
ต่อมาเมื่อย้ายตลาดขายดอกไม้เข้าไปด้านใน บริเวณทางเท้าด้านนอกก็ไม่มีคนเดินพลุกพล่านอีกต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า แผงลอยทำหน้าที่เสมือนผู้รักษาความปลอดภัยให้เมือง กับ 2.ซอยอารีย์ จุดนี้แม้บางช่วงทางเท้าจะแคบเพียง 0.8 เมตร แต่ผู้คนก็ยังเลือกเดินในจุดที่มีการค้าแผงลอย โดยเทียบกันระหว่าง2 ฝั่งของสถานีรถไฟฟ้า ฝั่งหนึ่งมีแผงลอยแต่คนเดินพลุกพล่านไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อของ ส่วนอีกฝั่งไม่มีแผงลอยแต่ก็ไม่พบคนเดินมากนัก ชี้ว่าถึงไม่มีแผงลอยใช่ว่าทางเท้าจะมีคนเดิน
“แผงลอยถือเป็นบริการของเมืองทั้งเรื่องของอาหาร เรื่องความปลอดภัย พื้นที่เมืองของกรุงเทพมหานครนับวันตลาดสดจะลดลงไปเรื่อยๆ พื้นที่ทางอาหารของเราหายไปเรื่อยๆ ข่าวออกมาว่าร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่จะรวมทุกอย่างไว้ในนั้นทั้งหมด อย่างนี้ความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนจะหายไปเลย เราจะพึ่งชีวิตกับร้านสะดวกซื้อเท่านั้น” อดิศักดิ์ กล่าว
ถึงกระนั้น “ในอีกมุมก็ต้องยอมรับผลกระทบจากหาบเร่แผงลอย” เช่น เวลาที่ต้องรีบไปทำธุระต่างๆ แล้วต้องเดินผ่านก็อาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจจากความไม่สะดวก หรือปัญหาด้านความสะอาด “แต่ทั้งหมดอยู่ที่การบริหารจัดการ” ภายใต้โจทย์ที่ผู้ค้ายังต้องได้ค้าขายในทำเลที่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพ พร้อมๆ กับการลดผลกระทบกับผู้เดินเท้าด้วย
อดิศักดิ์ ยกตัวอย่างพื้นที่ที่น่าจะนำร่องได้ 2 จุดคือ “ซอยอารีย์” ในฐานะพื้นที่มาตรฐานทั่วไป เป็นพื้นที่สัญจร เช่น ป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 ส่วน “บริเวณปากซอยพหลโยธิน 7” จุดนี้ผู้คนสัญจรหนาแน่นก็ต้องยอมรับว่าไม่เหมาะกับการตั้งแผงค้า กับ “พื้นที่ถนนเส้นหลัง” เป็นพื้นที่ซอยด้านในขนานกันและไม่ห่างจากปากซอยมากนัก บริเวณนั้นเป็นแนวอาคารเก่าที่ไม่ค่อยถูกใช้งาน จึงเหมาะสมที่จะ
ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่ค้าขาย
“โจทย์ของอารีย์ยังไม่ได้ลดทอนบทบาทของหาบเร่แผงลอยลง มันยังมีโครงข่ายที่สามารถเชื่อมกับรถไฟฟ้าได้ ดังนั้นก็จะเปิดทางเลือกของชนชั้นกลางที่บอกว่าฉันรีบ คุณก็เดินตรงทางที่ไม่มีหาบเร่แผงลอย แต่ถ้าวันไหนคุณอยากได้อาหารเช้าไปกินในที่ทำงานก็เลือกผ่านเส้นทางที่มีหาบเร่แผงลอยได้ ตรงนี้จัดการเชิงธุรกิจได้เพราะเป็นพื้นที่เอกชน คิดว่าสามารถเจรจาต่อรองเพื่อบริหารจัดการ”ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมืองรายนี้ ระบุ
อีกพื้นที่หนึ่งคือ “ถนนข้าวสาร” ในฐานะพื้นที่เฉพาะ เช่น เป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้ค้าบนถนนข้าวสารมี 2 กลุ่มคือ แผงค้าบนทางเท้ากับรถเข็นบนถนน และโดยสภาพความเป็นจริง “ถนนข้าวสารมีลักษณะเป็นถนนคนเดิน” รถยนต์เป็นรองในพื้นที่นี้ “ช่วงที่มีประกาศห้ามขายของพื้นที่ดูไร้ชีวิตชีวา” ทางเท้าที่ถนนข้าวสารมีขนาดใหญ่ถึง 3.4 เมตร สามารถแบ่งพื้นที่เดินเท้ากับตั้งแผงค้าได้สะดวก
อดิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีถนนข้าวสารว่า หากในพื้นที่ไม่มีความขัดแย้งระหว่างผู้ค้าแผงลอยกับร้านค้าที่เป็นอาคาร สามารถจัดแผงค้าให้มีขนาดเท่ากัน เหลือพื้นที่ทางเท้าไว้ให้คนเดินได้ 1.3-1.5 เมตร เมื่อประกอบกับความเป็นถนนคนเดิน ถ้าองค์ประกอบทั้งหมดเป็นแบบนี้ก็ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่รัฐจะไปสั่งห้ามค้าขาย แต่ถนนข้าวสารนี้มีปัจจัยสำคัญคือทางเขตกับกลุ่มผู้ค้าได้พูดคุยหาทางออกร่วมกัน จนกลายมาเป็นข้อตกลงของพื้นที่
“การบริหารพื้นที่สาธารณะกับการนวัตกรรมการออกแบบมันมีความเฉพาะเจาะจงและมีความหลากหลายในการดำเนินการทั้งกรณีเงื่อนไขเฉพาะที่รัฐต้องลงทุน เช่นถนนข้าวสารหรือถนนเยาวราชซึ่งเป็นถนนสายอาหาร รัฐต้องลงทุนเรื่องสุขาภิบาล แก้ไขความสกปรกต่างๆ เพราะใช้ตรงนี้เป็นจุดดึงดูดก็ต้องลงทุนด้วย ในไต้หวันจะมีถนนบางเส้นเป็นซอยย่อย รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้า ระบบแก๊ส บ่อดักไขมันน้ำดี-น้ำเสีย รัฐจัดผู้ค้าตรงนั้นอยู่ในระบบได้ อันนี้เป็นการจัดการพื้นที่เฉพาะ
กรณีที่สองเป็นพื้นที่ทั่วไป อันนี้ก็ต้องพิจารณาปัจจัยความแตกต่างของพื้นที่ พฤติกรรมความหลากหลายของผู้คน รวมถึงความเฉพาะตัวของแต่ละย่านด้วย ในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยหรือสุขาภิบาลต่างๆ อาจต้องห้ามก็ห้าม แต่ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอในการที่จะอธิบายตรงนั้น ท้ายที่สุดนอกจากจะบริหารจัดการพื้นที่ทั้งพื้นที่สาธารณะ กึ่งสาธารณะและเอกชน สิ่งที่ตามมาคือการบริหารจัดการองค์กรเชิงสถาบัน การบริหารจัดการแผนสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของเมือง” อดิศักดิ์ ให้ความเห็น
ข้างต้นเป็นแนวคิดการบริหารพื้นที่เท่าที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมืองจาก UDDC ยังตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องอื่นๆ เช่น “เราให้ความสำคัญกับรถยนต์มากเกินไปหรือไม่?” เพราะพื้นที่ถนนในกรุงเทพฯ ร้อยละ 90ให้รถยนต์แล่น เหลือเพียงร้อยละ 10 เป็นทางเท้า และพื้นที่เท่านี้ก็ยังถูกแบ่งการใช้งานไปอีกอย่างน้อย2 ส่วนหลัก 1.เพื่อการเดินเท้าสัญจร กับ 2.เพื่อวางองค์ประกอบต่างๆ ของถนน อาทิ เสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ กระถางต้นไม้
จึงมีคำถามว่า “การทวงคืนทางเท้าให้ประชาชนอาจไม่ใช่การทวงคืนจากผู้ค้าแผงลอย แต่ต้องไปทวงคืนกับถนนรถยนต์หรือเปล่า?” เพราะทางเท้ามีพื้นที่เพียง 1.5 เมตรท้ายที่สุดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมในเมืองที่หลากหลาย“ยังไม่นับกรณีไม่มีข้อบังคับให้ถนนทุกเส้นต้องมีทางเท้า มีแต่เพียงคำแนะนำเท่านั้น” ทำให้ผู้ที่ไม่ใช้รถยนต์แล้วต้องเดินผ่านไปยังถนนที่ไม่มีทางเท้าต้องเสี่ยงชีวิตกันเอง
หรือจะเป็นสารพัดมุมมองในแง่ลบ เช่น “หาบเร่แผงลอยไม่จ่ายภาษี” เรื่องนี้ต้องโทษที่รัฐไม่สามารถหามาตรการจัดเก็บที่เหมาะสมได้ อีกทั้งการเก็บภาษีในภาคส่วนอื่นๆ รัฐไทยก็ไม่ได้เข้มงวดมากนักอยู่แล้ว “หาบเร่แผงลอยไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” เรื่องนี้มีงานวิจัยชี้ว่าหาก
ไม่มีหาบเร่แผงลอยจะทำให้ค่าครองชีพในเมืองสูงขึ้น จึงมีความสำคัญกับผู้อยู่อาศัยในเมือง
“หาบเร่แผงลอยเป็นบ่อเกิดของความสกปรกและเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง” เรื่องนี้ถูกส่วนหนึ่งในกรณีผู้ค้าที่ขายอาหาร แต่อีกส่วนหนึ่งระบบระบายน้ำของกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ออกแบบให้แยกระหว่างน้ำเสียกับน้ำฝนอยู่แล้วเมื่อน้ำไหลลงคลองก็ทำให้น้ำในคลองเน่าเสียอยู่ดี ดังนั้นจึงมีเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องเข้ามาดูแล รวมถึงยังมีประเด็น “ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยจำนวนมากไม่ใช่คนกรุงเทพฯ” ทั้งที่ผังเมือง กทม. ออกแบบมาเพื่อดูแลคนที่อยู่จริงๆ กว่า 10 ล้านคน ไม่ใช่แค่คนมีชื่อในทะเบียนบ้านราว 6 ล้านคนเท่านั้น
“บริหารคนไม่ใช่แค่คนมีทะเบียนราษฎร์ แต่ต้องบริหารคนใช้ชีวิตในเมือง เขามาทำงานเขาสร้างเศรษฐกิจให้เมือง อย่างผมเป็นคนเชียงใหม่ผมก็เป็นประชากรแฝง ถ้าอยากให้จังหวัดไหนอยู่จังหวัดนั้นต้องกระจายอำนาจ ทำให้เมืองรองใหญ่กว่านี้ ถ้าผมอยู่เชียงใหม่แล้วมีงานทำผมก็อยู่เชียงใหม่ สร้างองค์ความรู้ที่เชียงใหม่” อดิศักดิ์ ฝากข้อคิด
ประเด็นผู้ค้าแผงลอยใช่หรือไม่ใช่คนกรุงเทพฯ นั้น ญาดา พรเพชรรัมภา ประธานชมรมผู้ค้าแผงลอยถนนข้าวสาร กล่าวเสริมว่า “การจัดระเบียบที่ใช้งานได้จริงต้องยึดตามคนที่ใช้ชีวิตอยู่จริงในพื้นที่” เช่น การค้าขายบนถนนข้าวสารที่มีข้อตกลงร่วมกันของชุมชน ใครจะเข้ามาก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ “แต่การที่เห็นว่าเมื่อไม่ใช่คนที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ แล้วต้องไล่ไม่ให้ค้าขายนั่นคือการจัดระเบียบที่ปฏิบัติจริงไม่ได้” และต้องไม่ลืมว่าคนที่จะมีชื่อในทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ ได้นั้นต้องมีฐานะดีประมาณหนึ่งจึงสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ได้
“อาชีพหาบเร่แผงลอยนั้นสัดส่วนน้อยมากสำหรับคนพื้นที่ในเมืองที่จะดำรงอาชีพนี้คนที่จะเป็นอาชีพหาบเร่แผงลอยคือคนต่างพื้นที่ แต่มาทำให้เมืองมันมีความคึกคัก วัตถุประสงค์คือเราต้องการเมืองหรือเราต้องการป่า ถ้าเราต้องการป่าเราก็ขจัดคนพวกนี้ออกไป อันนี้อยากให้เจาะประเด็นคนขายที่มีภูมิลำเนาที่ไม่ใช่เป็นคนกรุงเทพฯ” ประธานชมรมผู้ค้าแผงลอยถนนข้าวสาร ระบุ
อีกด้านหนึ่ง หากไปดูกระแสของคนอีกกลุ่มที่มีผู้วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็น “ชนชั้นกลาง” โดยคนกลุ่มนี้มีท่าทีชัดเจนว่า “ไม่ต้องการหาบเร่แผงลอย” และสนับสนุนมาตรการขั้นเด็ดขาดของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมถึงกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการกำจัด
ผู้ค้าแผงลอยให้หมดสิ้นไป อีกทั้งยังไม่พอใจเมื่อเห็นบรรดานักการเมืองพรรคต่างๆ ออกมาแสดงความเห็นใจและเสนอแนวคิดนำผู้ค้ากลับมาค้าขายดังเดิม
เรื่องนี้ รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า “ชนชั้นกลางมีมุมมองที่ขัดแย้งในตัวเอง” ด้านหนึ่งบอกว่าเห็นด้วยกับการขับไล่ผู้ค้าแผงลอยออกไปจากเมือง แต่ขณะเดียวกันก็พบว่าเป็นลูกค้าประจำของร้านค้าแผงลอยด้วย“ชนชั้นกลางไม่ได้มองว่าแผงลอยมีบทบาทต่อสังคมและต่อตนเองอย่างไร” ชนชั้นกลางเองก็อาจเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองด้วยเช่นกัน
ขณะที่ รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยศึกษาวิถีการค้าของหาบเร่แผงลอย พบว่า “มุมหนึ่งคนชั้นกลางก็เป็นลูกค้าอยู่ไม่น้อย แต่อีกมุมก็ต้องยอมรับว่าเมื่อผู้ค้ามีจำนวนมากเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อคนเดินเท้า เพราะหลายคนต้องลงไปเดินบนถนน” อีกทั้งยังมีปัญหาขยะมูลฝอย ที่ควรจะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่าง กทม. กับผู้ค้าหรือไม่?
“ความรู้สึกเดียดฉันท์ ความรู้สึกไม่เป็นมิตร มันเกิดขึ้นเพราะคนเดินถนนเดือดร้อนแต่ก่อนจะไม่รู้สึกว่ามันมากขนาดนี้เพราะคนกรุงเทพฯสมัยก่อนไม่เดินมากเท่าสมัยนี้คนกรุงเทพเดินมากขึ้นแล้วผู้ค้าก็มากขึ้นซึ่งก็มีหลายสาเหตุ ประเด็นนี้ถ้า กทม. จัดการแบบไม่จัดการ ก็จะเป็นการจัดการแบบเดิมๆ ประกอบกับมีเรื่องธรรมาภิบาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ต้องยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องเผชิญกับวิกฤติ แต่วิกฤติสร้างโอกาสเสมอ นี่เป็นโอกาสที่เราจะต้องมาตั้งต้นแล้วมองว่าจะอย่างไรกันต่อไปดี” อาจารย์นฤมล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี