เมื่อครั้งที่ผมเขียนบทความเรื่อง “รัฐธรรมนูญที่คนไทยปรารถนา และศาลบนทางแพร่ง” เผยแพร่ลงในสื่อสารมวลชนเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น มีแรงบันดาลใจจาก “ความรู้สึกที่เป็นห่วงต่อสังคมการเมืองไทย” ต่อความคิดอ่านกันในเรื่อง ความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน การยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม(rule of law) หรือการปกครองโดยกฎหมายที่เป็นธรรม การยึดหลักนิติรัฐ (legal state) หลักการแบ่งแยกอำนาจและถ่วงดุล และ การปกครองตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism)
ตลอดจนความเป็นสากล และ/หรือความเป็นลักษณะเฉพาะ (sui generis) รวมความผนวกเข้ากับการใช้อำนาจแห่งรัฐเพื่ออ้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจบังคับอยู่เหนือประชาชน โดยเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า “หลักการสำคัญๆ ดังกล่าวข้างต้นที่ว่านี้มีและใช้อยู่ในประเทศไทย” แม้บางครั้งได้ถูกใช้อย่างเบี่ยงเบนบิดเบี้ยวเป็นหลักการแบบไทยๆ ตามวิวาทะทางการเมืองร่วมสมัยของเยาวชนเวลานี้ว่า “ประเทศกูมี” แม้เวลาล่วงเลยมานานพอสมควรแล้ว “สังคมการเมืองไทยยังคงหันหัวเข้าสู่วิกฤติทางการเมือง” และข้ออ้างการปฏิรูปทางการเมืองอยู่ต่อไป
“ล่าสุดได้มีการเลือกตั้งทั่วไป ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ฉบับใหม่ ที่พยายามสร้างการเมืองแบบลูกผสม นำเอาอำนาจการเมืองที่มาจากประชาชน ผสมผสานกับอำนาจที่มาจากการแต่งตั้งของฝ่ายอำนาจนิยมจากการรัฐประหาร โดยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งไม่ได้มาจากรากฐานของประชาชนในทางการเมือง บรรจุใส่เข้าไปในโครงสร้างการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์ชาติ คล้ายๆ กับคณะกรรมการกรมการเมืองกลไกทางการเมืองที่สำคัญ ใช้กันอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งลดทอนอำนาจของประชาชนและฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์ในทางการเมือง มากกว่าสารัตถะอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เน้นบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในทางการเมือง อันจะส่งผลให้สังคมการเมืองไทยในอนาคตหันหัวไปสู่การเป็นรัฐแบบราชการ ขยายอำนาจของรัฐชาติให้มีขอบเขตกว้างขวางขึ้นกว่าเดิมได้”
ผลผลิตจากโครงสร้างทางการเมืองและการใช้อำนาจทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแบบลูกผสมของอำนาจทางการเมืองจากฝ่ายการเมืองกับระบบรัฐประหารทำให้“สังคมการเมืองไทยเข้าสู่ความเป็นการเมืองแบบแย่งกันเป็นใหญ่ (hegemony) เด่นชัดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ” ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาในมิติทางการเมือง มิติเชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของกลุ่มทุนทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังแล้ว
“ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งนี้ยังมีแนวโน้มขยายเข้าไปสู่วิกฤติทางด้านความยุติธรรม (social justice) ดึงศาลและอำนาจตุลาการให้เข้ามามีบทบาทใกล้ชิดกับปัญหาข้อพิพาททางการเมือง เป็นฝักเป็นฝ่ายมากขึ้นจนข้ามพ้นเส้นเขตแดนที่เหมาะสมในเขตอำนาจและความสามารถของศาลที่ควรจะเป็น” ทั้งยังจะนำไปสู่ปัญหาความน่าเชื่อถือของประเทศ การแตกแยกความสามัคคีปรองดองภายในชาติอีกด้วย
“ความที่ว่านี้ไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงเอยด้วยชัยชนะของประชาชนและทุกฝ่ายร่วมกัน” ดังที่เห็นและแสดงออกได้จากตัวอย่างของสภาพการณ์ปัญหาและข้อกังขาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งล่าสุด และกระบวนการใช้อำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ดำรงอยู่ในเวลานี้อย่างเห็นได้ชัด ทำให้การวิเคราะห์ถึงต้นสายปลายเหตุสภาพปัญหาทางการเมืองไทย เพื่อนำไปสู่การแก้ไขพัฒนาหรือปฏิรูปทางการเมืองให้ได้ผลกันต่อไปนั้น
“สุจริตชนผู้มีจิตใจที่เป็นธรรม จะหลีกเลี่ยงหรือมองข้ามการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่คำนึงถึงลักษณะเชิงสังคมวิทยาทางการเมืองที่ก่อกำเนิดองค์กรอิสระนี้ ตลอดทั้งการบังเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 ทั้งจากการร่างรวมถึงผู้คนที่เข้ามาร่วมรับผิดชอบจัดทำรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้เลย”กล่าวโดยจำเพาะถึงสภาพการณ์และแนวโน้ม ปัญหาของสภาพการเมืองไทยในอนาคตที่จะเปลี่ยนจากผู้เล่นหลักเดิมคณะรัฐประหาร คสช. ที่จะลดบทบาทในทางการเมืองลง ไปสู่ กกต. ที่จะเป็นคู่กรณีของความขัดแย้งทางการเมืองใหม่เบื้องหน้าต่อไป
“เวลานี้นั้นสังคมการเมืองไทยจะเลือกใช้การแก้ไขปัญหาแบบซุกไว้ใต้พรมอย่างที่ทำกันมา หรือสังคมการเมืองไทยจะเลือกให้เด็ดขาดบนความถูกต้องตามกฎหมายที่ถูกต้องจากศาลที่มีความสามารถชี้ขาดให้ถูกต้องจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือกรณีอาจไม่ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นเลย คืออาจประนีประนอมออมชอมยอมกันไปอย่างไม่มีข้อสรุปทิ้งให้เป็นต้นทุนทางการเมืองที่คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องลงทุนถากถางไปสร้างเอาเองในอนาคตข้างหน้า จากปัญหาทางการเมืองที่ถูกบ่มเพาะเอาไว้จากยุคปัจจุบัน”
สารัตถะของปัญหาความขัดแย้งอันเป็นผลสืบเนื่องจาก “การทำหน้าที่ของ กกต. ในการประกาศผลการเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่8 พฤษภาคม พ.ศ.2562” โดยใช้ดุลยพินิจและฐานอำนาจการคิดคำนวณจำนวน สส. แบบบัญชีรายชื่อแก่พรรคการเมืองตามความในมาตรา 128 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ซึ่งได้แนวทางจากแนวคำวินิจฉัยคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ว่า
“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 128 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 91 จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” นั้นใช่ว่าจะจบลงและลงเอยกันแบบเก่าๆ อย่างอดีตที่ผ่านมาเพราะผลจากการประกาศรับรอง สส.แบบบัญชีรายชื่อที่ กกต. ประกาศไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา
นัยว่าทำให้ “พรรคการเมืองขนาดเล็กได้ที่นั่งในฐานะ สส.แบบบัญชีรายชื่อขึ้นมา แม้ไม่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนที่เลือกไม่ถึงเกณฑ์จำนวน สส. ที่พึงมีตามความในมาตรา 91รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ก็ตาม ทำให้พรรคการเมืองที่ได้รับผลกระทบสิทธิเกิดความเสียหาย”หลายพรรคออกแถลงการณ์คัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของ กกต. เช่นว่านั้น
“เพราะจำนวนสมาชิก สส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเหล่านั้นจะลดลงเนื่องจากต้องนำไปคำนวณเฉลี่ยที่นั่ง สส.แบบบัญชีรายชื่อให้กับพรรคการเมืองขนาดเล็ก” ที่มีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ตาม รธน. มาตรา 91 ทำให้เสียงที่ประชาชนเลือกให้ต้องสูญเปล่า โดยตั้งใจจะดำเนินการยืนคำร้องหรือยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไปนั้น ถือเป็นต้นทุนทางการเมืองและต้นทุนทางความยุติธรรม ของสังคมการเมืองไทยที่ต้องแบกรับโดยเฉพาะให้คนรุ่นต่อไป
ทั้งนี้เนื่องจาก หากมองความขัดแย้งในประเด็นทางกฎหมายที่เป็นฐานรองรับการใช้อำนาจที่ผู้ใช้อำนาจมีเจตนาจงใจ กระทำการอย่างแจ้งชัดบนข้ออ้างทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยพรรคการเมืองใหญ่ที่เสียหายจากการคิดคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อตามความในมาตรา 128 พระราชบัญญัติฯ เลือกตั้ง 2561 ของ กกต. เสียที่นั่ง สส. แบบบัญชีรายชื่อและคะแนนเสียงที่ประชาชนเลือกพรรคของตนไป
โดยถูกนำที่นั่ง สส.แบบบัญชีรายชื่อที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ไปคิดคำนวณแบ่งให้พรรคการเมืองขนาดเล็ก ซึ่งไม่ได้คะแนนเสียงตามเกณฑ์ที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ตรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 พ.ศ.2560 ซึ่งตั้งเกณฑ์ สส. บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองพึงมีเอาไว้อย่างแจ้งชัด “ในที่สุดประเด็นศูนย์กลางของข้อพิพาททางการเมืองในเรื่องนี้จึงไปสู่ข้อพิจารณาทางกฎหมาย” ในเรื่องการใช้กฎหมาย ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยของสังคมการเมืองไทย
“ทั้งที่มาตรฐานทางสังคมการเมืองและการใช้กฎหมายที่ถูกต้องนั้นถูกสั่งสมพัฒนามาไกลถึงเวลานี้แล้ว แต่กลับไปสู่คำถามแบบพื้นฐานที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ในประการสำคัญที่ว่าการคิดคำนวณ สส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่ส่งสมัครรับการเลือกตั้ง จะใช้เกณฑ์คิดคำนวณที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 91หรือใช้เกณฑ์คิดคำนวณจาก มาตรา 128แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561”
ผมจึงเห็นและมีคำถามว่า “สังคมการเมืองไทยจะต้องสูญเสียต้นทุนทางการเมือง และต้นทุนด้านความยุติธรรมเป็นธรรมต่อเรื่องนี้ไปอีกนานเท่าใด? จะต้องสูญเสียโอกาสของชาติประเทศไปอีกนานเท่าใด? และจะต้องสูญเสียงบประมาณไปอีกเท่าไหร่?”ที่ทุกคนทุกฝ่ายจะต้องจ่ายและสูญเสียไปกับการได้ข้อยุตินี้ โดยเฉพาะต่อต้นทุนความยุติธรรม ที่เราไม่ต้องพลิกฟื้นการศึกษากฎหมายของชาติไทยใหม่ ปลูกและสร้างความรู้ทางนิติศาสตร์ของไทยเสียใหม่ พัฒนาสถาบันองค์กรทางด้านกระบวนการยุติธรรมกันเสียใหม่เลยหรือ?
ประเด็นจึงไม่ใช่เรื่องการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสิ่งเล็กๆ อย่างสุภาษิตไทยที่ว่า “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” แต่บางทีก็ยังมีอีกหลายคน จากหลายฝ่ายคิดเช่นนั้นจริงๆ ถ้ายังวกวนอยู่กับปัญหาการเมืองในลักษณะเช่นนี้ จะนำชาติเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ได้อย่างไร?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี