ยังคงปรากฏเป็นข่าวให้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อยู่เนืองๆ กับกรณี “รถร่วมบริการ” ที่พนักงานประจำรถแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2562 เวลา 02.00 น. มีรายงานพบคนขับรถร่วมบริการสาย 40 ดื่มสุราและขับรถอย่างหวาดเสียวจนสุดท้ายไปชนกับแท็กซี่ ซึ่งในเวลาต่อมาที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวคนขับรายนี้ได้ ก็ทำให้ทราบว่าใบอนุญาตขับขี่สาธารณะหมดอายุ
เชื่อว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรก (และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ดังสถิติของ กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2561 (เดือน ต.ค. 2560-2561) มีรถเอกชนร่วมบริการถูกร้องเรียนรวมทั้งสิ้น 4,729 ครั้ง แบ่งเป็นรถร่วมบริการ (ธรรมดา) 1,828 ครั้ง รถร่วมบริการ (ปรับอากาศ) 1,912 ครั้ง และรถมินิบัส 989 ครั้ง มากกว่ารถของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีเรื่องร้องเรียน 2,194 ครั้ง
นอกจากนี้หากดูประเภทของเรื่องร้องเรียน “รถเอกชนร่วมบริการมีปัญหาขับรถประมาท น่าหวาดเสียวมากอย่างมีนัยสำคัญ” โดย 3 อันดับแรกของรถร่วมบริการที่ถูกร้องเรียน กรณีรถร่วมบริการ (ธรรมดา) อันดับ 1 ขับรถประมาทน่าหวาดเสียว 894 ครั้ง อันดับ 2 ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้าย 411 ครั้ง อันดับ 3 เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนด 331 ครั้ง กรณีรถร่วมบริการ (ปรับอากาศ) อันดับ 1 ขับรถประมาท น่าหวาดเสียว 705 ครั้ง อันดับ 2 ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้าย 467 ครั้ง อันดับ 3 เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนด 346 ครั้ง
และกรณีรถมินิบัส อันดับ 1 ขับรถประมาท น่าหวาดเสียว 551 ครั้ง อันดับ 2 เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนด 165 ครั้ง อันดับ 3 ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้าย 89 ครั้ง ในขณะที่รถเมล์ ขสมก. อันดับ 1 มีเท่ากัน 2 เรื่องคือขับรถประมาท น่าหวาดเสียว กับไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้าย เรื่องละ 706 ครั้ง และอันดับ 3 เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนด 346 ครั้ง จะเห็นได้ชัดว่าเรื่องขับรถประมาท น่าหวาดเสียว เป็นปัญหาที่มีเรื่องร้องเรียนมากที่สุดแบบทิ้งห่างปัญหาอื่นๆ ในกรณีของรถร่วมบริการ หากเทียบกับกรณีรถเมล์ ขสมก.
“จริงๆ ใครก็อยากเข้าไปขับรถกับ ขสมก. แต่ก็ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ เพราะ ขสมก. เขาตรวจประวัติเข้มมาก ทั้งเรื่องคดี เรื่องเมา เรื่องการขับรถต่างๆ ถ้ามีประวัติแม้แต่น้อยเขาไม่รับเลย ลงท้ายก็มาขับรถร่วมกันเพราะรถร่วมไม่ได้เข้มมากขนาดนั้น คนขับรถร่วมก็จะดูมีอิสระหน่อยๆ ก็กลายเป็นว่าคนขับรถร่วมเราชอบอิสระไง ต่างจาก ขสมก. ที่เขาเข้มมากแม้แต่เรื่องเครื่องแบบ”
ชายวัยห้าสิบเศษรายหนึ่งที่ขับรถเมล์เอกชนร่วมบริการ เส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ-นนทบุรี บอกเล่ากับ “สกู๊ปแนวหน้า” พลางชี้ให้ดูการแต่งกายของตนเองซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเก่าๆ กับกางเกงขายาวสีดำที่มีร่องรอยคราบฝุ่นจับ ต่างจากคนขับรถเมล์สังกัด ขสมก. ที่เครื่องแบบพนักงานขับรถรวมถึงพนักงานเก็บค่าโดยสาร (กระเป๋ารถ) จะค่อนข้าง “เป๊ะ-เนี้ยบ” ทุกกระเบียดนิ้ว
เมื่อถามต่อไปถึงภาพลักษณ์ที่สังคมมองว่า “รถร่วมเอกชนมีปัญหาเยอะมาก” โดยเฉพาะประเด็นที่พูดกันมานานอย่าง “ทำอย่างไรรถร่วมบริการจะเลิกจอดแช่รอ-ขับซิ่งแข่งปาดแย่งผู้โดยสารเพื่อทำยอดส่วนแบ่งค่าตั๋ว” พนักงานรายนี้มองว่า “คงเป็นไปได้ยาก เพราะเอกชนเป็นระบบนายทุน” โดยเฉพาะต้นทุนในการจ้างคนที่ผู้ประกอบการอาจมองว่าไม่สามารถทำได้เหมือน ขสมก. จึงเป็นที่มาของมาตรฐานการให้บริการที่ต่างกัน
“รถร่วมฯมันเป็นระบบเถ้าแก่ ระบบนายทุน มันทำไม่ได้หรอก อย่าง ขสมก. คนขับเงินเดือนหมื่นกว่าบาทก็จริง แต่พอขับรถไปสักระยะหนึ่ง คืออยู่กับองค์กรไปนานๆ มันจะมีกองทุนสวัสดิการ เบิกค่าเล่าเรียนลูกได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ แต่รถร่วมฯไม่มี เราก็อยากได้นะ แบบอายุงาน 10 ปีขึ้นไปได้สิทธิกองทุนตรงนี้ แต่ถ้าทำก็คงขาดทุน ขสมก. เองจริงๆ เขาก็ขาดทุน แต่เขามีรัฐบาลหนุน” หนุ่มใหญ่ผู้ขับรถเมล์มาร่วม 3 ทศวรรษผู้นี้ กล่าว
ขณะที่ สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการด้านคมนาคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของรถเอกชนร่วมบริการคือ “มีผู้ให้บริการมากเกินไป” บางเส้นทางรถเมล์สายเดียวกันมีผู้ประกอบการ 3-4 ราย
“การที่หนึ่งเส้นทางมีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว รายได้
ของคนขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
มีผู้โดยสารมาก กับช่วงอื่นๆ ที่มีผู้โดยสารน้อยจะได้นำมาถัวเฉลี่ยกัน” อันเป็นการแก้ไขปัญหาวิ่งแย่งผู้โดยสารหรือจอดแช่ป้ายรอผู้โดยสารนานๆ นอกเวลาเร่งด่วน
ซึ่งขณะนี้ทราบว่าหลังมีการโอนย้ายอำนาจการกำกับดูแลรถเมล์เอกชนร่วมบริการจาก ขสมก. มาอยู่ที่กรมการขนส่งทางบก ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่ากรมการขนส่งทางบกจะจัดระเบียบเส้นทางเดินรถอย่างไรให้เหมาะสมกับความพร้อมของผู้ประกอบการแต่ละราย คาดว่าเร็วๆ นี้ จะมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการและทยอยให้ใบอนุญาตต่อไป ภายใต้เงื่อนไขเรื่องคุณภาพการให้บริการ เช่น กำหนดสัดส่วนการเปลี่ยนรถใหม่ นอกจากนี้ หากมีความชัดเจนเรื่องเส้นทางแล้ว การปรับขึ้นค่าโดยสารที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็น่าจะทำให้ผู้ประกอบการมองเห็นว่าจะลงทุนอย่างไร
“แน่นอนว่ายังอาจมีผู้ประกอบการรายเก่าๆ แล้วพฤติกรรมก็ยังเหมือนเดิม แต่เราก็หวังว่าจะเป็นส่วนใหญ่ที่น่าจะปรับเปลี่ยนการเดินรถได้ แล้วปรับเปลี่ยนเรื่องค่าจ้างให้ชัดเจนขึ้น ส่วนแบ่งค่าโดยสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่มันควรจัดรูปแบบให้มีความเหมาะสม เช่น ถ้าคุณบอกว่าส่วนแบ่งขึ้นอยู่กับรถคันนั้นคันเดียว จริงๆ มันไม่ควร เพราะรถจะไปจอดรอหรือไปแย่งผู้โดยสารกัน ผมอาจจะเทียบกับอย่างอื่นที่อาจไม่เสมอกัน เช่น ร้านอาหารที่พนักงานบางคนบริการดีแล้วได้ทิปพิเศษ
แต่ระบบที่มันควรจะเป็นคือบริการของพนักงานทุกคนควรจะมีคุณภาพเท่ากัน แล้วเอาทิปมารวมแล้วหารเฉลี่ย ระบบส่วนแบ่งค่าโดยสาร ถ้าวันไหนมีผู้โดยสารมาก รายได้วันนั้นมันควรเอามาเฉลี่ยกับพนักงานทุกคนที่ให้บริการในวันนั้น บริการทั้งระบบก็จะยกระดับขึ้นได้ ก็จะเกิดการคัดคนด้วย เพราะถ้าคนไหนไม่ดีคนเดียวระบบก็จะเสีย เถ้าแก่หรือพนักงานด้วยกันเขาก็จะได้มีระบบตักเตือนกัน เพราะเสียก็เสียทั้งสาย” สุเมธ เสนอแนะ
อีกด้านหนึ่ง บรรยงค์ อัมพรตระกูล ประธานสหพันธ์รถเมล์กรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดเผยถึงความร่วมมือกับ บริษัท ช ทวี จำกัด(มหาชน) เตรียมการ “ควบรวมกิจการรถเมล์เอกชนที่มีผู้ประกอบการหลายรายเข้าด้วยกัน” ตั้งเป้าหมายวางแผนในการจัดหารถเมล์เข้าบริษัททั้งสิ้น 6,000 คัน เฉลี่ยคันละ 1.5-2 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนราว 10,000 ล้านบาท เพื่อให้มาตรฐานการให้บริการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งแถลงข่าวไปเมื่อเดือนมิ.ย. 2561 ว่าล่าสุด 1 ปีผ่านไป ณ ปัจจุบันมีความคืบหน้าพอสมควร
คงต้องตามกันต่อไปว่าระบบที่หลายฝ่ายพยายามดำเนินการอยู่จะเป็นรูปเป็นร่างเมื่อใด? แล้วหลังจากนั้นจะแก้ปัญหาคุณภาพรถเมล์เอกชนร่วมบริการที่อยู่คู่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มายาวนานได้หรือไม่?!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี