วันนี้ (25 มิ.ย.62) เวลา 09.30 น. พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะ ประธานกรรมการ บริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริษัทอู่กรุงเทพจำกัด ครั้งที่ 6/2562 ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยภายหลังการประชุมเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร ได้นำคณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ตรวจความคืบหน้าการสร้างเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์และการเตรียมความพร้อม ในพิธีปล่อยเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ลงน้ำ โดยปัจจุบัน ในส่วนของการสร้างเรือมีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90
จากกระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานในพิธีวางกระดูกงูเรือต.91 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2510 ความว่า
"การป้องกันประเทศทางทะเลเป็นหน้าที่โดยตรงและสำคัญที่สุดของกองทัพเรือ หน้าที่นี้เป็นภาระหนักที่ต้องอาศัยทหารซึ่งมีความรู้ความสามารถ และเรือรบจะมีคุณภาพดีประกอบพร้อมกันไป บรรดาเรือรบที่ใช้ในราชการเป็นเรือที่สั่งทำจากต่างประเทศ การที่ทางราชการกองทัพเรือสามารถเริ่มต่อเรือยนต์รักษาฝั่งขึ้นใช้ในราชการได้เช่นนี้ จึงควรจะเป็นที่น่ายินดีและน่าสนับสนุนอย่างยิ่ง นับว่าเป็นความเจริญก้าวหน้าสำคัญก้าวหนึ่งของกองทัพเรือ"
นับแต่นั้นเป็นต้นมาถือเป็นจุดเริ่มแรกของกองทัพเรือในการสร้างเรือด้วยการพึ่งพาตนเองที่กองทัพเรือน้อมนำกระแสพระราชดำรัส มาปฏิบัติ ทั้งเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งในชุด ต.91 จนถึง ต. 99 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2545 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง เกี่ยวกับการใช้เรือของกองทัพเรือความว่า
"เรือรบ ขนาดใหญ่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานสูง กองทัพเรือจึงควรใช้เรือที่มีขนาดเหมาะสมและสร้างได้เองซึ่งเมื่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือต่อ 91 ได้แล้วควรขยายแบบเรือให้ใหญ่และสร้างเพิ่มเติม " อันเป็นจุดเริ่มต้นในโครงการต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือต่อ 991 เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ตามแนวพระราชดำริชุดเรือ ต.991 ที่ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และได้ดำเนินการสร้างเรือด้วยการพึ่งพาตนเองมาอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา กองทัพเรือ ได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสแต่กล่าวมาเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการกำลังรบตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือผูกพันปีงบประมาณ 2551 ถึง 2554 ในโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่าเรือหลวงกระบี่ นับเป็นการเพิ่มศักยภาพ ด้วยการต่อเรือที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นการดำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและการพึ่งพาตนเองกับเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของกรมอู่ทหารเรือในการต่อเรือตรวจการณ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเรือหลวงกระบี่ถือได้ว่าเป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่กองทัพเรือไทยเคยสร้างมามีระยะเวลาในการสร้างเรือนับตั้งแต่วางกระดูกงูจนถึงขึ้นระวางประจำการรวม 3 ปี
โดยกองทัพเรือได้ลงนามในสัญญาซื้อขายแบบเรือและพัสดุจากประเทศอังกฤษ ส่วนการบริการทางเทคนิคในการติดตั้งการเชื่อมต่อการทดสอบ ทดลองอุปกรณ์ตลอดจนการสร้างเรือในสาขาต่างๆนั้นได้ลงนามกับ บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในส่วนของกองทัพเรือ โดยสามารถดำเนินการจนสำเร็จตามวัตถุประสงค์ในปี 2555 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือและปล่อยเรือลงน้ำ ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช
สำหรับ โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่ 2 เข้าประจำการกองทัพเรือโดยใช้แบบของเรือหลวงกระบี่เป็นพื้นฐานในการสร้างเรือพร้อมกับมีการปรับปรุงข้อบกพร่อง ในส่วนต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานีและเรือหลวงกระบี่ เพื่อให้เรือลำใหม่มีคุณลักษณะที่เหมาะสมมากขึ้นในการตอบสนองภารกิจของกองทัพเรือ โดยกองทัพเรืออนุมัติให้โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่ 2 เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 4 ปีนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 ถึง 2561
โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ลำที่ 2 เฉลิมพระเกียรติ เป็นส่วนหนึ่ง โครงการพัฒนากำลังรบตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ ของกองทัพเรือในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การรักษากฎหมายในทะเลและการปฏิบัติการรบผิวน้ำรวมทั้งการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล และสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรืออื่นๆ
ทั้งนี้ ในส่วนของความแตกต่างระหว่าง เรือหลวงกระบี่ กับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่ 2 ที่สำคัญ คือ ได้เพิ่มขีดความสามารถของดาดฟ้าบินให้สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบซีฮอว์คได้ การติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นแบบฮาร์พูน รวมถึงการปรับปรุงห้องต่างๆ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดย ในส่วนของการต่อเรือนั้น ใช้การต่อแบบ Block Construction แทนการต่อแบบเดิมที่ต้องเริ่มจากการวางกระดูกงูเรือ โดยประกอบ 17 บล็อคใหญ่ 31 บล็อคย่อย ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วค่อยนำมาประกอบ ในอู่แห้ง โดยได้ดำเนินการสร้างเรือ ที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 กองทัพเรือได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือ ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช
ต่อมาในปี 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อเรือลำนี้ว่าเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ โดยกองทัพเรือ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีปล่อยเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ลงน้ำ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่กองทัพเรือ อย่างหาที่สุดมิได้
โครงการสร้างเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ลำนี้ กองทัพเรือได้ใช้ศักยภาพและความรู้ความสามารถของกำลังพลกองทัพเรือในการดำเนินการติดตั้งทดสอบ ทั้งตัวเรือโดยกรมอู่ทหารเรือ ระบบอาวุธ โดยกรมสรรพาวุธทหารเรือ และ กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ แม้ว่าจะใช้แบบเรือของต่างประเทศแต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างเรือขนาดใหญ่ด้วยการพึ่งพาตนเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี