หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับเรื่อง "มนุษยธรรม" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" ไว้ดังนี้ ..บรรดาญาติโยมทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ขอได้โปรดฟังคำแนะนำในการเจริญกรรมฐาน (4 ก.พ.2533) การปฏิบัติพระกรรมฐานในเบื้องต้นก็เหมือนกันทุกกอง กรรมฐานกองใหญ่จริงๆ มี 40 กองใน 40 กองที่พระพุทธเจ้าตรัสก็แบ่งเพื่อตรงกับอุปนิสัยของผู้ปฏิบัติเป็น 6 กองที่เรียกว่าจริต จริตของคนมี 6 อย่างพระพุทธเจ้าก็ทรงแบ่งกรรมฐานว่าจริตประเภทนี้ ใช้กรรมฐานประเภทนี้ จริตประเภทนี้ใช้กรรมฐานอย่างนั้น แบ่งไว้เพื่อจริตจริงๆ 30 กอง แล้วก็ตรัสไว้เพื่อเป็นกลางๆคนจริตแบบไหนก็ทำได้มี10กอง รวมเป็น 40 แต่ว่าเรื่องกรรมฐาน 40 จะไม่พูดในเวลานี้
การเจริญกรรมฐานจริงๆ พระพุทธเจ้าต้องการสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าอย่างน้อยขอทุกคนพ้นจากความทุกข์ใหญ่คืออบายภูมิได้แก่การเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้ถือว่าเป็นทุกข์ใหญ่เป็นพิเศษ เพราะว่าในแดน 4 แดนนี้ถ้าคนลงไปแล้วมันมีแต่ความทุกข์ไม่มีความสุข
อย่างนรกไฟก็ไหม้ตลอดเวลามีสรรพาวุธสับฟันตลอดเวลา แดนเปรตก็เช่นเดียวกัน แดนอสุรกายเต็มไปด้วยความหิว ไม่ถูกลงโทษด้วยสรรพาวุธไม่มีไฟ ก็มีแต่ความหิว สำหรับมาแดนสัตว์เดรัจฉานดีหน่อย แต่ว่าก็ไม่ดีมาก มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องการกินอย่างนี้คนเลี้ยงเขาให้กินอย่างโน้นต้องการกินอย่างโน้นคนเลี้ยงให้กินอย่างนี้ จิตใจก็ไม่เป็นสุข และบางเหล่าอดอยาก รวมความว่าอบายภูมิทั้ง 4 คือ (1) สัตว์นรก (2) เปรต (3) อสุรกาย (4) สัตว์เดรัจฉาน เป็นแดนของความทุกข์หนัก
พระพุทธเจ้ามีความสงเคราะห์พุทธบริษัทจึงมีการสอนธรรมะไว้ ธรรมะเบื้องต้น คือ มนุษยธรรม คำว่า มนุษยธรรม คือธรรมทำให้คนเกิดเป็นมนุษย์ คือว่าถ้าเราต้องการเกิดเป็นมนุษย์ให้ปฏิบัติในกรรมบถ 10 ถ้าบุคคลผู้ใดสามารถปฏิบัติในกรรมบถ 10 ได้ครบถ้วน ผู้นั้นเกิดเป็นมนุษย์ได้ สำหรับพวกเราตามศัพท์ที่เขียนหนังสือเขาเรียกกันว่า มนุษย์ ถ้าจริงๆ แล้วไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นคน คนนี่เขาแปลว่า ยุ่ง มีทั้งความดีและความชั่วกรรมที่สนองเรามีทั้ง 2 อย่าง มีทั้งกรรมที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล
สำหรับมนุษย์ เขาแปลว่าใจสูง คำว่าใจสูง หมายความว่าไม่มีใจต่ำ ไม่มีใจเลว อารมณ์เลวไม่มี ก็ได้แก่ผู้ที่ปฏิบัติในกรรมบถ 10 คือ 1 ไม่คิดจะฆ่าสัตว์ 2 ไม่คิดจะลักทรัพย์ 3 ไม่คิดจะละเมิดความรักของบุคคลอื่น นี่ทางกาย, ทางวาจาก็ 4 ไม่พูดปด 5 ไม่พูดคำหยาบ 6 ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน 7 ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล, ทางจิตใจ 8 ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม 9 ไม่จองล้างจองผลาญใคร 10 มีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
**ดาวราหู**
อย่างนี้ท่านเรียกว่า มนุษยธรรม ทีนี้ถ้าแดนใดถ้าปฏิบัติในกรรมบถ 10 ได้ครบถ้วน แดนนั้นเขาเรียกกันว่าแดนมนุษย์ ถ้าแดนใดปฏิบัติกรรมบถ 10 ไม่ครบถ้วนก็ถือว่าแดนคน ทีนี้ถ้าถามว่าแดนมนุษย์จริงๆ อยู่ที่ไหน บอกให้ก็ได้แต่ใครจะไปได้ ที่เขาเรียกกันว่า "ดาวราหู" ที่ฝรั่งเรียกว่าดาวหลุมดำนั่นแหละไอ้ดาวดวงนี้ข้างหลังดวงดาวขึ้นไปมันเป็นพิภพ ก็เป็นดินแดนอย่างของเรา มีบ้าน มีเรือนโรง มีภูเขา มีแม่น้ำ มีมหาสมุทร มีทุกอย่าง อย่างของเราหมด
แต่ว่าดินแดนแห่งนั้นอันดับแรกเขามีพรหมวิหาร 4 เป็นพื้นฐานและมีกรรมบถ 10 เป็นข้อวัตรปฏิบัติ แดนนั้นทั้งหมดไม่มีคนจน คำว่ายากจนเข็ญใจไม่มี คนสวยทั้งหมด เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข
นี่พูดถึงมนุษย์ก็เลยพูดให้ฟังความจริงมันมีเยอะกว่านี้ เป็นดินแดนที่ไม่ละเมิดกรรมบถ 10 ก็สบายใจแล้ว การทะเลาะกันไม่มี การฆ่ากัน แย่งกันไม่มี รบราฆ่าฟันไม่มี ของหายไม่มี การแย่งความรักกันก็ไม่มี ทุกคนพูดตามความเป็นจริง พูดไพเราะ พูดเพื่อความสามัคคี เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ถ้าถามว่าพิภพนี้อยู่ที่ไหน ก็ขอตอบว่าอยู่ในจักรวาลของมนุษย์ไม่ใช่สวรรค์ เอาแค่นี้ก่อนนะ
**เกิดเป็นเทวดานางฟ้า**
ต่อไปพระพุทธเจ้าก็แนะนำว่าอย่างน้อยที่สุดก็ให้มีคุณธรรมสามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ คือถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่มีความวุ่นวาย มีแต่ความสุข มีความเคารพซึ่งกันและกัน ในกรรมบถ 10 มีพรหมวิหาร 4 ถ้าเกิดในแดนมนุษย์ความจริงมันก็ดีแต่ว่าก็ดีไม่จริง ยังมีความแก่ ยังมีความป่วย ยังมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ยังมีความตาย แต่ว่าดีกว่าอบายภูมิ
ทีนี้ดินแดนที่ดีกว่ามนุษย์ก็คือสวรรค์ สวรรค์ดีกว่าดินแดนที่เป็นมนุษย์มาก เพราะว่าสวรรค์ไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่มี กายของชาวสวรรค์เป็นกายทิพย์เราเรียกว่านามธรรม ที่เรียกว่านามธรรม ความจริงก็เป็นรูป เป็นรูปของนาม คือในโลกสวรรค์ไม่ต้องกินอาหาร อาหารที่เคี้ยวกินไม่มี ไม่ต้องกิน อิ่มตลอดเวลา แดนสวรรค์ไม่หนาวเกินไปไม่ร้อนเกินไป แดนสวรรค์ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย แดนสวรรค์ไม่แก่ แดนสวรรค์ไม่ป่วย แดนสวรรค์ไม่ตายแต่เคลื่อนไปได้ คำว่าตายไม่มี หมายความว่าถ้าจะไปไหนก็ไปเลยถ้าหมดบุญวาสนาบารมีจะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เคลื่อนไปเป็นมนุษย์ เขาเรียกอย่างนั้น เขาไม่เรียกตายกัน ไม่ทิ้งกากก็คือร่างกายไว้
แดนสวรรค์ที่เรียกว่าดี คนทุกคนอยากไปสวรรค์ พระพุทธเจ้าแนะนำให้ปฏิบัติธรรม 2 อย่าง คือหิริและโอตตัปปะ
หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว แต่ความจริงถ้าเราตั้งจิตเพื่อเจริญกรรมบถ 10 ก็ดี เพื่อปฏิบัติกรรมบถ 10 หรือเจริญหิริและโอตตัปปะก็ตาม ก็เป็นกรรมฐาน ถ้าตั้งใจปฏิบัติในกรรมบถ 10 ก็เรียกว่าสีลานุสสติกรรมฐาน ถ้าหากว่าตั้งใจปฏิบัติในหิริและโอตตัปปะเป็นธัมมานุสสติ
**เกิดเป็นพรหม**
ต่อไปแดนสวรรค์ที่เรียกว่า ดี แต่ความจริงแดนสวรรค์ก็ยังมีผู้หญิง ผู้ชาย ยังมีความรัก ยังมีอารมณ์ ก็ชื่อว่ามีความสุขแต่ก็ยังมีความสุขสู้แดนพรหมไม่ได้ แดนพรหมเต็มไปด้วยความเงียบสงัด มีธรรมปีติเป็นเครื่องอยู่มีความอิ่มใจ มีกำลังมาก ที่แดนพรหมเขาไม่มีเพศ คือไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย ผู้ชายก็ตามผู้หญิงก็ตาม ถ้าตายจากความเป็นคนถ้าไปเกิดในแดนพรหม เพศหมดไป ขาดเพศ แล้วก็พรหมอยู่วิมานคนละองค์ไม่อยู่กันสององค์ มีความสุขมาก
ดินแดนทั้งสองคือสวรรค์ก็ดีพรหมโลกก็ดี ไม่มีคำว่าแก่ ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกอย่างเป็นสุข จะไปไหนก็ไม่ต้องใช้ยานพาหนะ ถ้าคิดว่าจะไปไหนก็ไปถึงได้ทันที ที่เราเรียกว่าเหาะ แต่ความจริงไม่ต้องเหาะ มันไปเร็วมาก ทั้งสองแดนนี้เป็นแดนที่มีความสุขมาก ดีกว่ามนุษย์มาก แต่ทว่าดินแดนทั้งสองแดนนี้ยังไม่พ้นความตาย ที่เรียกว่าตายความจริงเขาไม่ตาย ไม่พ้นจากการเคลื่อน ก็หมายความว่าถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ไม่สามารถจะอยู่ที่นั่นได้ ต้องจุติมาเกิดเป็นคนบ้าง มาเกิดเป็นสัตว์บ้าง บางรายก็ลงนรกไปเลยเพราะกรรมเก่ามีอยู่
ทีนี้การที่จะเกิดเป็นพรหมได้ทำยังไง ท่านบอกว่าต้องมีฌานสมาบัติ คนที่ขณะจะตายเข้าฌานตายมาเกิดเป็นพรหม ถ้าถามว่าฌาณเขาทำกันยังไง ถ้าทำกันตามแบบปฏิบัติที่ฝึกกันก็รู้สึกว่ายาก ถ้ารู้จักคำว่าฌาณจริงๆมันก็ของง่าย ถ้ามีความเข้าใจนี่มันไม่มีอะไรยากตัวเข้าใจนี่เป็นตัวปัญญา
คำว่าฌานก็คืออารมณ์ชิน ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทที่นั่งที่นี้จะถามว่าถ้าผมหรือฉันอยากจะทำฌาณบ้างจะได้ไหม ก็ขอตอบทันทีว่าได้ทุกคน ทำไมจึงได้ ก็มันเป็นของไม่ยาก คือ คำว่าฌานนี่ถ้าเราจับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไว้โดยเฉพาะ ถ้าจิตรับอย่างนั้นไว้โดยเฉพาะ เต็มกำลังจิตไม่เคลื่อนไหวไปไหนสักนาที2นาที นั่นก็คือฌาน
ทีนี้ ถ้าจะเอาฌานตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมีอะไรบ้างมี 40 อย่าง แต่วันนี้จะไม่พูดทั้ง 40
1 พุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเคารพพระพุทธเจ้า เป็นฌาณในพุทธานุสติ
2 ธัมมานุสสติ เคารพในพระธรรมอยากสวดมนต์เสมอๆ เป็นฌาณในธัมมานุสสติ
3 สังฆานุสสติ มีความเคารพในพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งเป็นสรณะ ก็เป็นสังฆานุสสติ
4 สีลานุสสติ มีใจต้องการและตั้งใจรักษาศีลด้วยความเคารพ นึกถึงศีลที่เรารักษามีกี่สิกขาบท อย่างศีล 8 รักษาไม่ได้มาก เอาศีล 5 คิดว่าศีลทั้ง 5 ข้อ เราจะไม่ยอมละเมิดอันนี้จิตเป็นฌานในสีลานุสสติ คำว่าฌานก็คืออารมณ์ชิน
**วิธีทรงฌานอย่างง่ายๆ**
ทีนี้เอาให้มันง่ายที่สุดกว่านี้ ญาติโยมทรงฌาณกันโดยไม่รู้สึกตัวมีเยอะ เอาฌาณกันจริงๆที่ญาติโยมทำกัน มีใครใส่บาตรเป็นประจำวันมีไหม ใส่บาตรนอกบ้านหรือใส่บาตรในบ้านก็ได้ ใส่บาตรนอกบ้านก็หมายความว่าถ้าพระท่านมาเราใส่บาตรมีเป็นประจำ เราก็คิดไว้เสมอว่าวันพรุ่งนี้พระท่านจะมาเราใส่บาตรด้วยอะไรบ้าง หรือบางคนพระนอกบ้านไม่มีก็ใส่บาตรพระในบ้าน คือสตางค์ใส่กระป๋องใส่บาตรนะ ถึงเวลาเราก็ใส่บาตร เวลาใส่บาตรเราก็ว่าอะไรบ้าง ว่าคาถาเงินล้านหรือคาถาวิระทะโย เวลาที่เราว่าเราก็ว่าด้วยการตั้งใจจริงด้วยความเคารพ เวลาใส่ก็ใส่ด้วยความเคารพ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทใส่บาตรนอกบ้านหรือใส่บาตรในบ้านอย่างนี้มันเป็นฌานนะ
คำว่าฌานอันดับแรกของกรรมฐานกองแรกที่ญาติโยมจะพึงได้ก็จาคานุสสติ การนึกว่าวันพรุ่งนี้เราจะใส่บาตร วันนี้ใส่ไปแล้ววันพรุ่งนี้จะมีข้าวกับแกงอะไรบ้าง ถ้าเราไม่แกงเอง เราก็จะซื้อแกงที่ไหนซื้อกับที่ไหน ซื้อปลาทูย่างที่ไหน ตัวนึกตัวนี้นึกจนชิน ถ้าถึงวันเวลามันต้องนึกว่าจะต้องทำให้ได้ ถ้าวันไหนไม่ได้ทำวันนั้นไม่ค่อยสบายใจนัก นี่มันเป็นฌาณในจาคานุสสติ ไม่ยากเลยนะ พอเข้าใจแล้วมันไม่ยาก
ทีนี้ถ้าพวกที่ใส่บาตรในบ้าน ถ้าถึงเวลาๆนี้เราต้องเอาตังค์ใส่บาตรวิระทะโย ไม่ใช่วิระทะโยก็ได้ อะไรก็ได้ คิดว่าเวลานี้เอาสตางค์สลึงหนึ่ง มากกว่าหรือต่ำกว่าก็ตามเราจะใส่ เวลาใส่เราก็ตั้งนะโม 3 จบ ทุกวันเราต้องตั้งนะโมเราต้องบูชาพระ และการตั้งนะโมนี่นึกถึงใคร ตั้งนะโมนี้ถ้าแปลไปก็แปลว่าข้าพเจ้าขอนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์พระองค์นั้น ก็คือตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพการคิดว่าเวลานี้เราจะใส่บาตรนั่นเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นฌานแล้ว และประการที่ 2 ถ้าใส่บาตรเราต้องตั้งนะโม การตั้งนะโมนี่เป็นพุทธานุสติกรรมฐานเป็นฌาน เห็นไหม ไม่ยากเลยหากินคล่องๆ
ต่อไปถ้าว่านะโมบทเดียวไม่พอเราก็ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิเราว่าอย่างนี้ด้วยความเคารพจริงๆ แล้วคิดว่าถ้าถึงเวลานั้นเราต้องว่า ถ้าถึงเวลาที่เราจะใส่บาตรเราจะต้องว่าอย่างนี้ตั้งใจไว้แล้ว อย่างนี้เป็นฌาน
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นธรรมมานุสติกรรมฐาน สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นสังฆานุสติกรรมฐานแล้วก็เวลาตั้งใจคิดว่าจะเอาสตางค์ใส่บาตรเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ใส่ลงไปแล้วเป็นทานบารมี เห็นไหม มันได้ทีตั้งเยอะแยะ ไปนั่งโง่เอาอย่างเดียวทำไม ก็เป็นอันว่าญาติโยมถ้ามีความฉลาดฌานท่านก็มีอยู่แล้วนะ
1 ตั้งใจบูชาพระเป็นประจำวัน ถึงเวลานี้เราต้องบูชาพระ ถ้าไม่บูชาพระจิตใจไม่สบาย อย่าลืมว่าอารมณ์ที่เรานึกว่าจะบูชาพระนั่นเป็นอนุสสติ เป็นฌานในอนุสสติไหนบ้าง นึกว่าเราจะบูชาพระที่หน้าพระพุทธรูปที่บ้านของเรา ถ้านึกถึงพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ เวลาที่ท่านบูชาพระท่านสวดมนต์บทไหนก็ตามตั้งแต่ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ไปทั้งหมด จะเป็นบทไหนก็ตาม ท่านเคยสวดเป็นปกติ ท่านคิดว่าเราต้องสวดอย่างนี้ ถ้าไม่สวดมันไม่สบายใจ นั่นเป็นธัมมานุสสติ และเวลาที่ ท่านสวดบูชาพระเห็นภาพพระสงฆ์อยู่ด้วยเป็นสังฆานุสติ นี่เป็นฌาณจริงๆ คำว่าฌานคืออารมณ์ชิน
และอีกอย่างหนึ่ง บางบ้านที่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่นั่งอยู่นี่ ก็มีหลายบ้าน บางบ้านตอนเช้าก่อนจะรับประทานอาหาร เอาข้าวไป ถวายข้าวพระ ก่อน ไม่มีพระมาบิณฑบาต ถวายพระพุทธรูปที่บ้าน ทีนี้บังเอิญบางวันไม่มีข้าว มีผลไม้ก็ได้ มีอะไรก็ได้ ไปถวายท่าน ตั้งใจบูชาพระ การที่ตั้งใจจะถวายพระในเวลาเช้าอันนี้ก็เป็นฌานในกรรมฐาน คือนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นพุทธานุสสติ ตั้งใจคิดว่าจะนำของไปถวายเป็นจาคานุสสติ นี่เป็นฌาณนะ
ก็รวมความว่าคำว่าฌาณนี่ก็เป็นของง่ายๆ ไม่ยากอย่างที่คิดกัน ถ้าถามว่าฌาณอย่างนี้จะเกิดเป็นพรหมได้ไหม ก็อย่าลืมว่าเวลานี้เราพูดกันถึงเรื่องพรหม เราพูดกันว่าถ้ามีฌาณแล้วจะไปเกิดเป็นพรหม ทุกอย่างที่พูดมานี้มีกำลังเป็นพรหมได้ทั้งหมด
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บางท่านชอบพระพุทธรูป บางท่านก็ชอบนึกถึงพระธรรมข้อใดข้อหนึ่งไม่ต้องทั้งหมด บางท่านก็ชอบนึกถึงพระสงฆ์ บางท่านก็เลี้ยงสัตว์ไว้ที่บ้าน การเลี้ยงสัตว์ท่านเลี้ยงนะไม่ได้จ้างมัน การให้อาหารสัตว์ที่บ้านเป็นทาน ไม่ใช่ว่าเราบังคับว่าเจ้าแมวนี่จะต้องจับหนูนะ ถ้าวันหนึ่งจับหนูไม่ได้หนึ่งตัวไม่ช้าเนรเทศ อยู่ไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่เลี้ยงเป็นการจ้าง ทีนี้แมวก็ตามสุนัขก็ตาม มันจะจับหนูหรือไม่จับหนูจะเห่าขโมยหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นเรื่องของมันเราเลี้ยงด้วยความเมตตา การเลี้ยงสัตว์เป็นทานบารมี ไม่ใช่ของเบา อันนี้กันนรกด่านแรกเลยสัตว์ที่บ้านนี่
การนึกว่าเราจะให้ทานกับสัตว์เวลาไหนเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ถ้าบังเอิญท่านคิดอะไรไม่ออกก่อนจะตายนึกถึงพระพุทธก็นึกไม่ได้มันปวดมันเสียด จะนึกถึงพระธรรม ก็นึกถึงไม่ไหวจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ไกลเกินไป ไปๆมาๆภาพสุนัขมันเดินผ่านหน้า นึกถึงสุนัขขึ้นมาได้ ว่าเราตายไปแล้วเจ้าหมาตัวนี้มันจะกินที่ไหน ใครจะเลี้ยงมัน ใครจะสงเคราะห์มันอย่างเราสงเคราะห์มัน ถ้าอารมณ์จิตคิดขึ้นมาอย่างนี้นะเป็นอารมณ์กุศล ในฐานะที่เราเลี้ยงมันเป็นปกติ นึกถึงการให้มันเป็นฌาณในเวลานั้นพอดี ถ้าท่านตายเวลานั้นเมื่อจิตออกจากร่างแล้ว บุญทุกส่วนที่ทำแล้วทั้งหมดมันจะรวมตัวทันที แล้วจะไปเป็นพรหมกรรมฐานบทนี้ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้ ว่ากันเรื่อยๆไป เป็นอันว่าถ้าเราไปเป็นพรหมได้เราก็โก้ พรหมอยู่สูงกว่าเทวดามากแต่ว่ายังไงก็ตามพรหมก็อยู่ไม่ได้นาน แต่ว่าพรหมนี่มีอายุเป็นกัปนะ ถึงยังไงก็ตามเมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาจุติมาเกิดใหม่ มีทุกข์
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำว่าความดีที่เราทำอันดับแรกทำความดีสูงสุดไม่ได้ว่าทำความดีเพื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ในดินแดนที่เขามีกรรมบถ 10 เป็นพื้นฐานจะมีแต่ความสุข ไม่เชื่อก็ไปเที่ยวดาวหลุมดำสิมันอยู่ขอบจักรวาล ถ้าลงมาจากสวรรค์มันจะอยู่ริมจักรวาลที่สุดในจักรวาลนี้ ดินแดนนั้นโลกนั้นจะใหญ่มาก โลกของเราเข้าไปอยู่ในอุ้งโลกของมันสักร้อยโลกยังไม่เต็มเลยใหญ่มาก
เขาเรียกมีดวงดาวที่หายเข้าไป ที่ฝรั่งมันเรียกกินดาว ความจริงไม่ได้กิน มันไหลเข้าไปเอง มันลึกมาก มันมีความกว้างมาก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าดาวบางดวงที่เข้าไปอย่างเร็วที่สุด 3 ปีจึงจะไหลออกมา ฝรั่งมันเลยหาว่ากินดาว มันลึกมากใหญ่มาก เป็นจักรวาลที่ใหญ่มาก ดินแดนที่มีความสุขมากศิวิไลซ์มาก
ถ้าความดีของเราสามารถทำได้สูงกว่านั้น ก็ทำให้ถึงสวรรค์ เป็นการพักความทุกข์สวรรค์มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ถ้ากำลังใจสูงกว่านั้นก็ไปเป็นพรหมอย่าลืมว่าถ้าต้องการ เกิดเป็นมนุษย์ก็ปฏิบัติกรรมบถ 10 ให้ครบถ้วนเป็นสีลานุสสติกรรมฐานถ้าต้องการเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็ปฏิบัติในหิริและโอตตัปปะเป็นธรรมมานุสติกรรมฐานหิริความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว
ถ้าต้องการไปเกิดเป็นพรหมก็ทำทานให้ปรากฏทำจิตให้ทรงฌาณไว้ คำว่าจิตให้ทรงฌาณก็หมายความว่าเราเคยบูชาพระเวลาไหนตั้งใจไว้เลยเวลานั้นจงอย่าพลาดมันจะคลาดกันบ้าง 9 นาที 10 นาทีที่ไม่เป็นไรถึงเวลาหัวค่ำก่อนหลับเราจะบูชาพระหรือตอนเช้าก่อนไปทำงานเราจะบูชาพระ เอาเวลาเดียวก็ได้เวลาไหนก็ได้ตามใจชอบถ้าถึงเวลานั้นเราต้องทำ ทำด้วยความเคารพ อย่างนี้เป็นฌานเขาถามว่าฌาณในกองไหนของกรรมฐานตอบเขาได้เลยว่า ฌาณในพุทธานุสติเป็นกองแรกเพราะเราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า
**ไปนิพพาน**
แต่ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพรหมดีแต่ว่าดีไม่นาน ให้ทุกคนต้องการไปนิพพาน ถ้าไปนิพพานไม่มีการกลับมาอีก วิธีไปนิพพานง่ายๆทำยังไง เอาใจยอมรับกฎของธรรมดา พระอรหันต์นี่ไม่มีอะไรมาก คือต้องมีอารมณ์ไม่ฝืนกฎธรรมดา ให้นึกไว้เสมอตามความเป็นจริงว่า ธรรมดาของชาวโลกทั้งหมดมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็แก่ลงไปทุกวัน คนก็แก่สัตว์ก็แก่ วัตถุก็เก่า ในที่สุดมันก็พัง สภาพของการเกิดของชาวโลกเป็นอย่างนี้ จะเป็นโลกไหนก็ตาม จะเป็นโลกนี้ โลกพระจันทร์ โลกพระศุกร์ มันก็เหมือนกันหมด อย่างชินะโลก โลกที่พูดเมื่อกี้นี้ คือ ดาวราหูน่ะ เขามีอายุหมื่นสองพันปีแล้วมันก็ตายเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ตาย แต่เขาไม่แก่เหมือนเรา คนของเขาอายุหมื่นสองพันปีใกล้จะตายมาเทียบเท่ากับอายุยังไม่เต็ม30ของเรา หน้าตาหนุ่มมาก เขามีแต่ความสุข เป็นอันว่าโลกไหนก็ตามเหมือนกัน เป็นมนุษย์ก็ต้องตาย เป็นเทวดาก็ต้องจุติ เป็นพรหมก็ต้องจุติ เราก็ไปนิพพาน
วิธีที่จะไปนิพพานก็ต้องมีอารมณ์ปล่อยร่างกาย คือไม่ปล่อยคนทั้งหมด ปล่อยคนทั้งหมดอันนี้มันยาก จริงๆแล้วปล่อยร่างกายที่เรียกว่า สักกายทิฐิ ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ4 คือธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันประกอบเข้ามาเป็นร่างกายเรา ตามภาษาหนังสือเขาเรียกว่า จิต แต่ตามภาษาของพระเรียกว่า อาทิสสมานกาย มันเข้ามาสิงในร่างที่เป็นเนื้อแบบนี้ ถ้าถึงวาระที่ร่างกายมันจะพังเราต้องไปจากร่างนี้ ไปหาร่างใหม่
ฉะนั้นในเมื่อร่างนี้มันมีสภาพไม่ดีอย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ในการเกิดต่อไปที่มีธาตุ 4 หรือขันธ์ 5 แบบนี้จะไม่มีกับเรา หลังจากนั้นก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทยึดพุทธานุสสติกรรมฐานไว้เป็นอารมณ์ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ภาวนาพุทโธก็ได้ สัมมาอรหังก็ได้ อิติสุคโตก็ได้ ภาวนาว่ายังไงไม่ว่า
แต่ว่าอันดับแรกก่อนจะภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน อย่างนี้ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าเรามาก ดีกว่ามนุษย์ ดีกว่าเทวดา ดีกว่าพรหม ยังนิพพาน ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังนิพพานจากขันธ์ 5เราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าเราตายจากชาตินี้ขอไปนิพพานจุดเดียว คิดไว้อย่างนี้ทุกวันนะ ก่อนจะหลับทบทวนว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันต้องตาย มันตายเราไม่ตาย เราไม่ตายเราอยู่ที่ไหน จะไปนิพพาน ตื่นมาใหม่ๆคิดว่า ร่างกายนี้มันต้องตาย มันตายแล้วไปไหน เราจะไปนิพพาน แล้วจับภาพพระพุทธเจ้าภาวนาว่าพุทโธก็ได้ อิติสุคโตก็ได้ สัมมาอรหังก็ได้ ตามใจชอบ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ นี่สำหรับสุกขวิปัสสโกนะ
สำหรับท่านที่ได้ในด้านของฉฬภิญโญคือ มโนมยิทธิ ก่อนจะหลับตั้งใจรวบรวม กำลังใจนึกถึงพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใสตามกำลังพุ่งใจไปนิพพานทันที ไปอยู่ที่นั่น ถ้าจะให้ดีไปอยู่ที่นั่นจนกว่าจะหลับไป ร่างกายจะหลับก็ปล่อยหลับไป ถ้าทนอย่างนั้นไม่ไหวไปอยู่สัก 2-3 นาที ก็คิดว่าถ้าตายเมื่อไรขอมาที่นี่แห่งเดียว แล้วก็หลับ เมื่อตื่นใหม่ๆทำอย่างนั้นไม่ต้องลุกขึ้นมา พอตื่นปั๊ปรวบรวมกำลังใจ ทำตามนั้นแล้วก็ไปนิพพาน
.............
คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี