ผจก.มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ ลั่น กรมอุทยานฯ กลืนน้ำลายตัวเอง กรณีระบุเสือโคร่งที่ตาย 86 ตัวเป็นสายพันธุ์ไซบีเรีย เหตุไม่ได้อยู่ในอำนาจ ไม่สามารถเอาไปได้ ส่วนเลือดชิดทำให้เสือตายเป็นเพียงข้ออ้าง แถมโยนความผิดกรณีเสือติดเชื้อมาจากวัด
วันที่ 16 กันยายน 2562 จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยึดเสือโคร่งของกลางจำนวน 147 ตัว จากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ที่เคยเป็นสถานท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกในอดีต ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และนำไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อปี พ.ศ.2559 หรือประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่กรมอุทยานฯได้เคลื่อนย้ายเสือจำนวนดังกล่าวไป ทำให้วัดเสือแหล่งท่องเที่ยวซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด โดยล่าสุดเสือของกลางได้ทยอยเสียชีวิตลงด้วยโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียง 86 ตัว จากจำนวนเสือของกลางทั้งหมด
หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นทางด้านพระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในเรื่องของเสือของกลาง ภายหลังจากเสือดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายออกไปจากวัดเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปี โดยยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้และเป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง กรณีที่กรมอุทยานฯ ระบุว่ากลุ่มเสือโคร่งที่ตายส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ไซบีเรีย ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดที่ไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเองที่ดีพอ จึงเป็นเหตุให้เสือป่วยตาย
ส่วนกรณีที่ระบุว่าเสือเหล่านั้นน่าจะเป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อ ที่เป็นมาตั้งแต่เอาออกมาจากวัดฯ เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเชื้อโรคไม่ใช้เวลาฟักตัวนานถึง 3 ปี และที่สำคัญวันที่เจ้าหน้าที่มาทำการขนย้ายเสือออกจากวัดฯ เสือทุกตัวจะมีการตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์กว่า 40 นาย ดังนั้น หากมีเสือติดเชื้อ หรือเป็นโรค เจ้าหน้าที่ก็จะต้องกล่าวหาวัดตั้งแต่วันนั้นแล้ว และพูดทิ้งท้ายว่าหากเลี้ยงกันไม่ได้ ก็ให้เอากลับ แต่หากเสือของกลางไม่สามารถขนย้ายกลับมาได้ก็ขอให้นำลูกเสือที่คลอดออกมาใหม่มาเลี้ยงที่วัดฯ โดยขอเอามาเลี้ยงเองและจะเลี้ยงให้ดู
ล่าสุด นายอธิธัช ศรีมณี อายุ 50 ปี ผู้จัดการมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า การที่เสือของกลางได้ตายไปเป็นจำนวนมาก ในลักษณะทยอยตายอย่างเนื่องทางกรมอุทยานฯ พยายามปิดข่าวนี้มาโดยตลอด ซึ่งตนในฐานะที่ผูกพันกับเสือเหล่านั้นมานานก็รู้สึกเสียใจ และหดหู่อย่างมาก
กรณีที่ระบุว่ากลุ่มเสือโคร่งที่ตายเกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดที่ไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเองที่ดีพอ จึงเป็นเหตุให้เสือป่วยตายนั้น เป็นเพียงเหตุผลข้อกล่าวอ้างทางวิชาการเท่านั้นที่สำคัญกรณีที่ระบุว่า เสือโคร่งที่ตายส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ไซบีเรียนั้น ทางกรมอุทยานฯก็ผิดตั้งแต่แรกที่มาเอาเสือไปแล้ว เนื่องจากเสือโคร่งสายพันธุ์ไซบีเรีย ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมอุทยานฯ ไม่ต่างจากสิงโตที่วัดเลี้ยงอยู่ 1 ตัวที่กรมอุทยานฯ ไม่สามารถเอาไปได้ หรือหากระบุว่าเป็นเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอล ก็ไม่มีอำนาจเอาไปเช่นกัน
"เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาที่กรมอุทยานฯ มาเอาเสือไป อ้างว่าเสือเป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น อุทยานฯในฐานะผู้ดูแลต้องเอาไป แต่วันนี้กลับมาระบุว่าเสือดังกล่าวเป็นเสือสายพันธุ์ไซบีเรีย และมาโยนความผิดให้กับวัดเท่ากับกรมอุทยานฯ ไม่รับผิดชอบอะไรเลย"
ส่วนกรณีที่ระบุว่าเสือติดเชื้อตั้งแต่เอาไปจากวัดนั้นขอชี้แจงว่าในวันที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มาเคลื่อนย้ายเสือไป มีสัตว์แพทย์ถึง 40 คนเป็นคนตรวจสุขภาพเสือทุกตัว แต่กลับมาโยนความผิดให้กับวัดในประเด็นนี้อีกทั้งๆ ที่วันนั้นทางวัดไม่มีสัตวแพทย์มาร่วมตรวจแต่อย่างใดและหากเสือติดเชื้อก็คงออกอาการในช่วง 2-3 เดือนหลังจากที่มาเอาไปแล้ว และขณะที่เสือเหล่านั้นอยู่ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ก็อยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ และเมื่อเสือป่วย สัตวแพทย์ก็จะต้องดูแล แต่กลับมาโยนความผิดให้กับทางวัดทั้งๆ ที่ผ่านมาไปนานกว่า 3 ปีแล้ว จึงเป็นคำพูดที่ดูเหมือนไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
เมื่อถึงวันนี้สิ่งที่กรมอุทยานฯ ได้กระทำต่อวัดแห่งนี้จากเดิมที่วัดมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยว ชาวบ้านมีอาชีพ มีรายได้ จังหวัดได้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ปัจจุบันอยู่ในสภาพเงียบเหงาและต้องขอรับบริจาคอาหารและเงินเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ที่ยังเหลืออยู่ภายในวัดนับพันตัว แต่ปรากฏว่าวันนี้กรมอุทยานฯ ก็กลับมาโยนความผิดให้กับวัดอีกรอบ สิ่งที่สะเทือนใจอีกเรื่องก็คือ การที่นำสื่อไทยมารุมถล่มโจมตีที่นี่ เหมือนกับว่าวัดป่าหลวงตามบัวฯ ไม่ใช่แผ่นดินไทยและพยายามทำลายล้างวัดแห่งนี้ลงให้ได้
ในส่วนของผลกระทบที่กรมอุทยานฯ มาเอาเสือไปจากวัดไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงเฉพาะจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมาก โดยกระทบทั้งระบบและกลับส่งผลให้บางประเทศได้ประโยชน์จากตรงนี้ไป ซึ่งทำให้ไทยเสียผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจมากมายมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศ ดังนั้น การทำลายแหล่งท่องเที่ยว เป็นการบริหารที่ผิดพลาดอย่างมาก และกระทบกับทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจโดยรวมคนจำนวนมาก และสัตว์ในวัดหลายพันชีวิตที่ต้องได้รับความเดือดร้อน
ทุกวันนี้ชาวกาญจนบุรี และบุตรสาวของท่านบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จัดส่งอาหารและสัตวแพทย์มาช่วยดูแล ปัจจุบันมีสัตว์ที่อยู่ในความดูแล อาทิ กวางรูซ่า กว่า 400 ตัว หมูป่า หลายร้อยตัว นกยูง ม้า และวัว ควาย นับร้อยตัว แต่ในส่วนของวัว กับ ควาย ทางวัดฯ แบกภาระไม่ไหว หลวงพ่อจึงได้แบ่งให้มูลนิธิแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น มารับไปดูแลครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด เพราะสงสารชีวิตความเป็นอยู่ของมัน จึงต้องตัดใจมอบให้ไปดูแลต่อ เนื่องจากวัวกับควายจะต้องกินอาหารต่อวันเป็นจำนวนมาก ไม่เหมือนเช่นสัตว์ชนิดอื่น
"ประชาชนที่ทราบข่าวการตายของเสือต่างรู้สึกสงสาร และมีความเห็นตรงกันว่า หากปล่อยให้เสืออยู่ที่วัดเสือเหล่านั้นก็คงจะไม่ตาย เพราะคนที่วัดเลี้ยงด้วยใจ เลี้ยงความรัก จึงแตกต่างจากการที่อุทยานฯ นำไปเลี้ยง" นายอธิธัช ศรีมณี ผู้จัดการมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปลุกกระแสให้คนเมืองกาญจน์ออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต้องการทวงคืนเสือกลับมาให้วัดดูแลเหมือนเช่นในอดีต และบริหารจัดการร่วมกันระหว่างจังหวัดกับวัด เนื่องจากที่ผ่านมาหลังจากที่เสือถูกย้ายออกไปได้ส่งผลกระทบต่ออาชีพและรายได้ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของคนเมืองกาญจน์
โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกวัด ที่ต้องตกงาน ไม่มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรีและประเทศไทยด้วย ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว เพราะเสือที่วัดเสือแห่งนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย โดยเฉพาะชาวต่างชาติต่างพากันเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและจังหวัดกาญจนบุรี เพราะวัดเสือถือเป็นสถานท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกที่เป็นจุดหมายปลายทางของเหล่าบรรดานักท่องเที่ยว
#ภาพจากแฟ้ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี