“373,097 คน” เป็นจำนวน “ผู้ต้องขัง” ทั่วประเทศณ วันที่ 26 ส.ค. 2562 ซึ่ง ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นำมาเปิดเผยในเวทีเสวนา “มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อการลดการลงโทษทางอาญา” ในงานสัมมนา “การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 2” เมื่อต้นเดือน ก.ย. 2562 ที่ผ่านมา แบ่งเป็น 1.ผู้ต้องขังเด็ดขาด (คดีถึงที่สุดมีคำพิพากษาแล้ว) 298,720 คน 2.ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี (ไม่ได้ประกันตัว) 62,994 คน 3.คนฝาก(เยาวชนที่มีพฤติกรรมรุนแรงไม่สามารถอยู่ในสถานพินิจตามปกติได้) 67 คน
4.ผู้ต้องกักขัง (กรณีต้องโทษปรับแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ) 1,725 คน 5.ผู้ต้องกักกัน 27 คน และ 6.ผู้รับการตรวจตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟู 9,564 คน สะท้อนภาพปัญหา“คนล้นคุก” ได้เป็นอย่างดี ซึ่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “เป็นความเคยชินของคนเขียนกฎหมายในเมืองไทย ที่ต้องใส่โทษจำคุกเข้าไปด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือใหญ่ก็ตาม”จึงไม่ต้องแปลกใจที่คุกไทยจะแออัดเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ เรื่องนี้ยังส่งผลเสียต่อสังคมภายนอกด้วย
“คนที่ต้องโทษกักขังหรือจำคุก เวลาออกไปยืน เวลาแบ่งโซนในสังคมเป็นขาว-เทา-ดำ มันจะอยู่คนละโซนเลยนะ ผมก็ไม่แน่ใจว่าการไปบัญญัติโทษจำคุกในกฎหมายเทคนิคมันเป็นการป้องกันสังคมหรือซ้ำเติมทำร้ายสังคม หรือทำให้ประเทศนี้ย่ำแย่ไปอีก เพราะคนพวกนี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งงาน” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าว
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ไม่ได้ยกตัวอย่างอื่นไกล“แค่หน่วยงานรัฐทั้งหลายจะจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย-พนักงานทำความสะอาดจากบริษัทภายนอก ยังต้องขอตรวจประวัติอาชญากรรม” เมื่อประกอบกับการเขียนกฎหมายไทยที่อะไรๆก็เอาไปขังคุก ทั้งที่ความผิดหลายเรื่องไม่ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง “เมื่อติดคุก พ้นโทษออกมาหางานทำไม่ได้ ก็ต้องหาหนทางที่ไม่ดีเพื่อความอยู่รอด” แล้วก็ถูกจับเข้าคุกซ้ำ
วิธีคิดในการเขียนกฎหมายแบบนี้จึงกลายเป็นว่า “เรานำคนธรรมดาที่ก้าวพลาดไปขังรวมอาชญากรตัวจริง แล้วคนธรรมดาเหล่านั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาประเภทตัดช่องย่องเบา งัดรถงัดบ้าน เปิดเซฟต่างๆ” อย่างที่หลายคนมักพูดกันว่า “คุกคือที่บ่มเพาะอาชญากร” และเมื่อถึงเวลาที่คุกแน่นมากๆ เช่น “เรือนจำไทยทั้งหมดรองรับผู้ต้องขังได้ประมาณแสนกว่าคน แต่มีผู้ต้องขังจริงสามแสนกว่า กรมราชทัณฑ์ก็เลยต้องหาทางระบายผู้ต้องขังออกบ้าง” ผ่านกระบวนการเลื่อนชั้นนักโทษเพื่อให้ได้สิทธิขอพระราชทานอภัยโทษ
“ปัจจุบันอัตราการติดคุก เช่น 10 ปี ติดจริงไม่ถึง 5 ปี เพราะคุกมันล้น และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอัตราการทำผิดซ้ำในไทยถึงสูง 1.กระบวนการพิพากษาท่านดูแล้วว่าต้องใช้เวลาขนาดนี้
ถึงเยียวยาเขาได้สำเร็จ ก็สั้นลงเหลือครึ่งเดียว นักโทษชั้นดีก็เป็นได้ง่ายขึ้น แค่ขยันทำงาน พูดจาสุภาพ ถ้าแสดงตัวแบบนี้ได้ตลอดเวลาก็เลื่อนชั้นเป็นนักโทษชั้นดี 2.ออกไปสังคมรังเกียจ โอกาสไม่มี ฉะนั้นนี่คือปัญหาที่ต้องแก้ ซึ่งอันแรกที่ต้องแก้ก่อนคือทัศนคติที่มองปัญหานี้ มองทุกอย่างเป็นโทษจำคุก” อาจารย์ปริญญา กล่าว
รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่าง “ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด” ซึ่งเป็นข้อหาที่พาคนเข้าไปอยู่ในเรือนจำมากที่สุดถึงร้อยละ 80 ทั้งนี้หากเปรียบเทียบ 3 ประเทศ “เนเธอร์แลนด์” มีผู้ต้องขัง 67 คนต่อประชากรแสนคน “สหรัฐอเมริกา” มีผู้ต้องขัง 740 คนต่อประชากรแสนคน และ“ไทย” มีผู้ต้องขัง 536 คนต่อประชากรแสนคน “ไทยเดินตามนโยบายสงครามยาเสพติดแบบที่สหรัฐฯ ทำ” สัดส่วนผู้ต้องขังต่อประชากรของทั้ง 2 ประเทศ จึงใกล้เคียงกัน เรื่องแบบนี้เข้าใจได้ในทางเศรษฐศาสตร์
กล่าวคือ เมื่อเน้นการปราบปรามอย่างหนัก ยาเสพติดก็ลงใต้ดิน กลายเป็นของหายาก ราคาก็แพงขึ้น เกิดแรงจูงใจให้คนอยากเสี่ยงรับมาจำหน่าย “ต้นทุนเม็ดละ 40 สตางค์ราคาขายพุ่งไปเป็นเม็ดละ 200 บาท” ซ้ำร้ายเมื่อเม็ดเงินมหาศาลนี้อยู่ใต้ดิน “ปัญหาทุจริตก็ตามมา” เพราะต้องมีการ “จ่ายตามรายทาง” ยังไม่นับว่ามาตรการเน้นปราบปรามยังไปเปลี่ยนผู้เสพให้กลายเป็นผู้ค้าด้วย
“สมมุติว่าเคยเป็นผู้เสพเฉยๆ แต่ก่อนเม็ดละ 2-3 บาท พอกลายเป็นเม็ดละ 200 บาท ไม่สามารถซื้อมาเสพได้ ก็ต้องเป็นผู้จำหน่ายเพื่อจะได้มีเงินมาเสพ แล้วจำหน่ายใคร? ก็คนรอบๆ ตัว เพื่อน ครอบครัว เพื่อนบ้าน ก็เลยเกิดธุรกิจขายตรงยาเสพติดระบาดยิ่งกว่าขายตรงยี่ห้อต่างๆ นี่คืออย่างดี อย่างแย่คือถ้าขายแล้วกำไรไม่ทันก็ก่ออาชญากรรมเลย มันอยากยามาก ไปดักที่เปลี่ยว มอเตอร์ไซค์ขี่มาก็ไปถีบให้ล้มแล้วชิงกระเป๋าสตางค์ไป วิ่งราว ลักขโมย คือพอติดยาแล้วอะไรมันก็ทำ” อาจารย์ปริญญา ยกตัวอย่าง
อาจารย์ปริญญายังกล่าวถึงประเทศ โปรตุเกส ที่หากใครใช้ยาเสพติด จะมีการขึ้นทะเบียน ซื้อยาจากสถานพยาบาลในปริมาณจำกัดและอยู่ในความควบคุมของแพทย์ที่จะตรวจสุขภาพเพื่อหาแนวทางบำบัดต่อไป คนค้ายาเสพติดใต้ดินก็ลดลงเพราะราคายาบนดินถูกกว่า อาชญากรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดก็ลดลง เนเธอร์แลนด์ก็ใช้แนวทางที่คล้ายกันผู้ที่อยู่ในเรือนจำของทั้ง 2 ประเทศ จึงมีแต่อาชญากรตัวจริงเท่านั้น
ด้าน ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวเสริมโดยยกตัวอย่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ซึ่งแต่ก่อนเมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัว เช่น สามีตบตีภรรยา พอตำรวจไปจับก็ต้องส่งดำเนินคดี ศาลตัดสินสามีผิดต้องติดคุกตะราง ยอมความก็ไม่ได้ กลายเป็นปัญหาครอบครัวไปอีกทางหนึ่ง พ.ร.บ.นี้ จึงเกิดขึ้นมาโดย “ให้สิทธิผู้เสียหายถอนแจ้งความได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องไปผ่านการบำบัดปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” จนครบกระบวนการเสียก่อน
บทสรุปของเรื่องนี้..การตั้งข้อสังเกตทั้งหมดข้างต้นจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวคิดการออกกฎหมายได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกระแสสังคมด้วย ซึ่งดูแล้วคงไม่ง่ายหากทัศนคติคนไทยจำนวนมากยังยึดหลัก “แก้แค้นทดแทน” เชื่อว่าต้องเอาไปขังเพื่อให้คนทำผิดหลาบจำและคนอื่นๆ เกรงกลัว แต่คงลืมนึกไปว่า “ขังไว้อย่างไรก็ต้องมีวันปล่อยตัวไม่ช้าก็เร็ว” คำถามคือถ้าออกมาแล้วไม่มีทุน-ไม่มีงานให้เริ่มต้นชีวิตใหม่
อะไรจะเกิดขึ้น?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี