ถอดบทเรียน13ศพนศ. แพทย์จี้รัฐเข้ม-ทบทวน‘ห้ามนั่งท้ายกระบะ’
30 กันยายน 2562 จากกรณีอุบัติเหตุรถกระบะบรรทุกนักเรียนเทคนิค ฝึกงานวันสุดท้าย กลับจากงานฉลองเที่ยวดูหมอลำ เสียหลักพุ่งชนเสาไปข้างทางพลิกคว่ำ มีผู้เสียชีวิตถึง 13 ราย และบาดเจ็บสาหัสหลายราย ที่บริเวณถนนกิ่งแก้ว ปากทางเข้าซอยกิ่งแก้ว 21 มุ่งหน้าลาดกระบัง ม.12 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 28 ต่อเนื่องเช้าวันที่ 29 กันยายน 2562 นับเป็นความสูญเสียที่ยากจะประเมินค่าได้ โดยคลิปวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้ในขณะเกิดเหตุ พบว่ารถกระบะคันดังกล่าววิ่งมาด้วยความเร็วสูง แซงขึ้นมาจากเลนขวาสุดก่อนจะพลิกคว่ำจากเลนขวาของถนน ก่อนพุ่งขึ้นฟุตปาทและชนเสาไฟฟ้า กระทั่งร่างของผู้โดยสารที่นั่งมาท้ายกระบะกระเด็นออกจากรถเสียชีวิตเกลื่อนถนน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า สาเหตุของอุบัติเหตุประเภทนี้การควบคุมของผู้ขับขี่ อาจจะ เป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง แต่สิ่งที่ทุกคนอาจไม่พึงระวัง คือ ขนาดหรือมิติตัวรถถือเป็นส่วนสำคัญของอุบัติเหตุครั้งนี้ คือ รถที่จุดศูนย์ถ่วงสูง (Center of Gravity) ซึ่งหากบรรทุกคนมา 10 คน เฉลี่ยน้ำหนักคนละ 60 กิโลกรัม จะมีความเสี่ยงในการพลิกคว่ำมากกว่ารถปกติสูงกว่าปกติถึงกว่า 2.5 เท่า ซึ่งเป็นไปตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน
“แต่เมื่อมีการบรรทุกคนนั่งท้ายกระบะ ซึ่งไม่มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือเข็มขัดนิรภัย เมื่อเกิดการหักเลี้ยวกะทันหันจะเกิดแรงเหวี่ยงที่เพิ่มขึ้น จนส่งผลให้เกิดการพลิกคว่ำ คนที่อยู่บริเวณท้ายกระบะจึงมีลักษณะเหมือนการถูกเทกระจาดไปคนละทิศคนละทาง เมื่อเกิดการเทกระจาด ผู้โดยสารท้ายกระบะจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้โดยสารภายในตัวรถที่คาดเข็มขัดนิรภัยถึง 8 เท่า และรถคันดังกล่าวที่ได้เห็นจากในคลิป จากการคำนวณดูระยะความเร็วรถที่วิ่ง ใกล้ๆกับ 120 กม./ชม. หากเกิดแรงปะทะจะเท่ากับตกจากตึกสูง 19 ชั้น จึงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และอาจจะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย ซึ่งยังคงอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนการเกิดเหตุ เช่น ความเสี่ยงจากยางระเบิดเนื่องจากบรรทุกจำนวนมาก หรือปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวผู้ขับขี่” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวอีกว่า หากย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึง “กฎหมายห้ามนั่งท้ายกระบะ” เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ซึ่งจริงๆกฎหมายห้ามท้ายกระบะนั้น ว่ากันว่ามีอยู่แล้วตามข้อบังคับของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รถยนต์ พ.ศ. 2522 โดยมาตรา 21 (3) ได้พูดถึงการห้ามใช้รถที่ไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ โดยระบุว่า ห้ามใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน 1,600 กก. เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือใช้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ถ้าแปลเป็นภาษาบ้านๆ คือ ต้องใช้รถยนต์ให้ตรงตามที่ได้จดไว้ในทะเบียน เช่น ถ้าใครจดทะเบียนรถกระบะเป็นรถบรรทุก หรือป้ายสีเขียว จะเอามาบรรทุกคนไม่ได้
ถ้าใครจดทะเบียนรถกระบะเป็นรถยนต์นั่งเกิน 7 คน หรือป้ายสีน้ำเงิน โดยที่ทำการต่อเติมหลังคาและมีที่นั่งชัดเจน จะนำมาใช้บรรทุกสิ่งของไม่ได้ และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ฉบับแก้ไขล่าสุด ที่กำหนดว่าผู้ขับขี่ “ต้อง” จัดให้คนโดยสารในรถทุกคน ในทุกที่นั่ง รัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย
“ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ควรจะได้มีการนำกรณีนี้มาเป็นบทเรียนสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย ในการควบคุมการใช้รถผิดประเภท การรัดเข็มขัดนิรภัยในทุกที่นั่ง ซึ่งนั่นหมายถึง การห้ามนั่งท้ายกระบะ กันอย่างจริงจังเสียที ก่อนจะมีศพต่อไปกระเด็นตกจากท้ายกระบะ” นพ.ธนะพงษ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี