เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า พระท่านอดข้าว ภาวนาอดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิวกลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่นท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐากมองเห็นกัน เดินไป เดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยาแสดงอะไรเห็นอยู่ เหมือนคนเห็นอยู่ชัดๆในเวลาเงียบๆ นั้น
ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ ก็เห็นอยู่ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้น ชัดๆ เหมือนคนธรรมดา โอ๊ย!อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาจะโจมตีพระแหลกนะ โจมตียังไงก็มองเห็นกันอยู่นี่ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้ยังไงเทวดาเป็นผู้หญิง มี "โอ๊ย! ก็ทำไม่เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่น กี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น"
เอาอาหารทิพย์มาให้ดื่ม พูดกันด้วยภาษาใจ ไม่ได้พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กินพระท่านบอกว่า กินไม่ได้เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา บางทีก็นำอาหารทิพย์มาหากลางคืน "นี่เวลานี้กลางคืนไม่กิน" ก็อ้างไปเสียแล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหารก็พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ ยากลำบากกลัวเป็น กลัวตาย ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวแหละมาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป "ไม่เอา ถ้ากลัวตายไม่ต้องอด" พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น
กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูงๆบนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียวมารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้าเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้าง ว่าเสือ ว่าอะไร เทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์ พวกเปรต พวกผี พวกอะไรไม่ให้เข้ามาเทวดารักษาอยู่นี่อย่างนี้ก็มีฟังเอาแต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ เดินแบบธรรมดาเรานี้ก็ได้ ได้ทุกแบบ แบบสำลีมาก็มี แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้ยังไงๆ อิริยาบถใดควรจะใช้ยังไง ใช้ได้ทั้งนั้น
ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกลๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขา ไม่ค่อยมีพระล่ะซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตาย ก็มานิมนต์พระ ท่านไปกุสลาให้ ใครตายก็ตามในเขา ต้องมานิมนต์ท่านไปกุสลา ธฺมมา ทีนี้พอคนตายทางพระนี้รู้แล้วนี่ "โห!แล้วกันพรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว ไม่ได้กินข้าวนะ" เป็นเวลาพระท่านอดอาหารภาวนาก็ต้องเดินทางไปกุสลาให้เขาในหมู่บ้าน โน้นเอาอีกคนแล้วตายแล้ว ตายในบ้านโน้น รู้แล้วทางนี้ คนตายในบ้านอีกแล้ว
บางทีก็รู้ขึ้นภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า "คนตายแล้วนะ" อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทางมาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี บอกอะไรก็จริงทั้งนั้น พอประมาณสัก 10 โมงเช้า เขาขึ้นภูเขามาแล้ว "มาอะไรล่ะ" คอยฟังคำตอบ "มานิมนต์ไปโปรดสัตว์" แน่ร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีผิด ไม่มีเคลื่อนเลยพอตื่นนอนขึ้นมา เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาแล้ววันนี้ พอ 9 โมงเช้า หรือ 10 โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว "อะไรล่ะโยม" "โอ๊ย!นิมนต์ไปโปรดสัตว์"
พวกเรามันพวกตาบอดไม่เห็น ท่านผู้ตาดี ท่านเห็นธรรมดาเหมือนเราตาดีนี้เห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ล่ะสิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมด ผิดที่ตรงไหน นี่ล่ะเครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนามีอยู่หมดเ ลย ตั้งแต่ อริยสัจ เป็นต้น เป็นแกน ขยายกิ่งก้านสาขาออกไป หาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์พรหมโลก มีนิพพาน พวกเปรต พวกผี พวกอะไรๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา
ต้นศาสนา คือ อริยสัจ กิ่งก้านสาขาแตกออกไป ออกไปจากอันนี้หมด ถ้ากิ่งก้านสาขาเหล่านั้นไม่จริง อริยสัจอันเป็นแกนของศาสนาก็ไม่จริง กิ่งนั้นไม่จริง ต้นไม้นี้ก็ไม่จริง เพราะกิ่งไม้นั้นเป็นกิ่งก้านของต้นไม้นี้และจะมาหาต้นไม้นี้ ออกมาจากต้นไม้นี้ กิ่งนั้นเป็นกิ่งของต้นไม้นี้ ถ้าปฏิเสธกิ่ง ก็ต้องปฏิเสธต้นด้วย ถ้าปฏิเสธต้นไม่ได้ ก็ปฏิเสธกิ่งไม่ได้
..............
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี