นี่ท่าน (องค์หลวงปู่ขาว) ก็รำพึงถึงช้างตัวใหญ่ๆ ที่มันเคยมาหาท่าน ท่านอยู่วัดถ้ำกลองเพล มันเคยมา เคยมาเสมอนะ แต่มันไม่ได้เข้ามาถึงกุฏิท่าน อย่างคราวที่แล้วนี่ มันมาหากินอยู่ใกล้ๆนี่ ตัวใหญ่มากทีเดียว แล้วท่านก็รำพึง "เอ๊ะ!ช้างตัวใหญ่ๆ นี่มันตายแล้วหรือไงนา ไม่เห็นนานแล้ว ตัวที่มันมาเที่ยวหากินอยู่ตามบริเวณที่เราอยู่นี่" ท่านว่างั้นนะ "มันไปไหนหายเงียบไปเลย หรือถูกเขาฆ่าแล้วนา" ท่านรำพึงอยู่ตอนกลางวัน พอตกกลางคืนมันก็มา ดึกสงัดจริงๆ ดูประมาณซักตีหนึ่ง
ธรรมดาช้างเดินไม่ได้ยินเสียงมันหรอก มันไม่มีเล็บลงพื้น เล็บมันอยู่ข้างบนเหมือนเล็บมือเล็บเท้าเรานี่ เดินไปถึงไม่ได้ยินเสียง พอดึกสงัด มันก็เอางวงมาลูบมาคลำฝากุฏิท่าน เวลามันมานั้น ท่านอยู่ในห้องมันก็เอางวงมาลูบมาคลำตรงกับที่เรานอนอยู่ข้างใน มันลูบมันคลำฝา ข้างนอก ท่านว่างั้น ฟังเสียงเหมือนกับเสียงคนมาลูบมาคลำฝา "ใครมาที่นั่น" ท่านว่างั้นนะ เสียงไม่ดังนักแต่พอได้ยินดีๆ นี่แหละท่านว่า "ใครมาอยู่ข้างนอกนั่นน่ะ" ท่านว่างั้น
เสียงมันก็ยังมีอยู่และเงียบไปชั่วคราว ท่านเลยนึกในใจ หรือพวกขโมยมาหาขโมยของหรือไงนา แต่ท่านไม่ได้บอกว่าขโมย "ถ้าอยากได้ของ ของอะไรก็อยู่ชั้นล่างนั่น พรมก็มี อยากได้ก็เอาไปซี" ท่านบอกท่านนึกว่าเป็นพวกขโมย ความจริงเป็นช้างใหญ่อยู่ข้างนอกนั้น มันกำลังเอางวงมันคลำฝากุฏิท่าน มันอยู่ทางด้านตะวันตก ท่านอยู่ในห้อง ท่านบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็เอาซิ ผมก็อยู่ข้างล่างชั้นล่างนั่นแหละ แล้วท่านก็ภาวนาไปท่านว่า
ตกตอนเช้าท่านเลยไปดูว่า ขโมยมาเอาของอะไรไป ของก็ยังเห็นดีๆ อยู่ในห้องชั้นล่างนะ ยังดีๆอยู่ทีนี้รอยก็ไม่เห็นล่ะซี มันน่าคิดเอามากนะ เวลามันเข้ามาตามทางนั่น จะไปเห็นรอยมันได้ยังไง ก็หินนี่ทางเข้า กุฏิหลวงปู่หลังปัจจุบันเข้ามานี้ ถ้าเดินมาตามทางก็ไม่เห็นรอยซิ อะไรมาก็ไม่เห็นรอย
ที่นี้เวลามันออกไปนี่ มันน่าคิดอยู่นะ มันมีกองทรายอยู่โน้น พวกกองทราย เขาเอาทรายมาผสมปูนอะไรๆ เสร็จแล้วก็วางกองอยู่ข้างนอก ทางไปอยู่อีกทางหนึ่ง มันไม่ได้ออกไปตามทางนี่นะ เวลามันออกออกไปก็ไปเหยียบเอากองทรายนั่นน่ะ ไว้ตรงนั้น เหยียบรอยเดียวนะ มันแปลกจริงๆ เหยียบเสร็จแล้วก็ไป
ทีนี้ประตูนั้นมันมีซุ้มประตู มันเป็นประตูไม้ตีขวางไว้นี้ มันก็ไม่ไปตรงนี้ ถ้าไปตรงนี้ประตูก็พังประตูต้องหัก ราวที่ดีข้างบนต้องหัก มันก็อ้อมไป เวลามาก็เข้ามา เวลาออกไปก็อ้อมไป ท่านจึงมาเห็นรอย "อุ๊ยๆนี่ๆ มันมาเมื่อคืนนี้" ท่านชี้รอยนั้นให้พระเณรดู ท่านพระก็เลย เอาอะไรมาขวางไว้ กลัวคนจะไปเหยียบ ใครมาก็ให้ดู เราไปวัดดูได้หนึ่งศอกหลวงพอดีนะ ก็ประมาณ 50 เซนติเมตรหรือว่าไง ได้พอดีเป๋งเลย รอยมันกว้างกลม มันไปแล้วใหม่ๆ เราไปนั่น ท่านก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังแล้วท่านก็พาไปดูรอยช้างตัวนี้
"นี่ๆดูซิ ท่านมหา รอยมันตั้งใจเหยียบไว้นี่น่ะ" ไม่ได้เดินไปเหยียบ เพราะผ่านไปเฉยๆมันตั้งใจไปเหยียบแล้วมันก็กลับ มันจึงเป็นเหมือนเทวดามันดลบันดาลใจ พวกนี้พวกเทพบันดาลใจมีนะ เช่น เทพบันดาลเป็นสัตว์ เช่น ช้าง เช่นเสือ เช่นอะไรๆ มาก็เป็นได้ คือ อิทธิฤทธิ์ของเทพให้เป็นสัตว์ทั้งตัวเลย ให้เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเราชัดๆนี่ อย่างนี้ก็เป็นได้หรือเทวดาบันดาลใจสัตว์ให้รู้เรื่องรู้ราว อะไรให้ปฏิบัติหน้าที่แทนอย่างนั้นก็ได้ เช่น อย่างช้างไปเหยียบรอยไว้นี้ ก็เหมือนกับเทวดาบันดาลใจให้เป็นๆ"
อย่างที่พระท่านเดินจงกรมอยู่ หลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง ที่เราเขียนไว้ในประวัติฯ น่ะ พระท่านเดินจงกรมอยู่ เสือมันมานั่งอยู่ข้างทาง ไม่ได้นั่งหมอบทำท่าจะตะครุบอะไรนะ มันนั่งธรรมดาเหมือนสุนัข นั่งอยู่ข้างทางจงกรม ท่านอยู่ฝั่งแม่น้ำโขงทางโน้น ปกติฝั่งแม่น้ำโขงทางโน้นเสือชุมอยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังชุม เพราะเนื้อมาก เสือมาก คนยังไม่ได้ทำลายอะไรมากนัก เหมือนเมืองไทยเรา แต่ก่อนก็ยิ่งมากท่านว่า
ท่านว่า ท่านเดินจงกรมอยู่ มันก็มานั่งอยู่ข้างทางจงกรมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ มันรู้สึกมีลักษณะแสลงตาๆ เหมือนมีอะไรอยู่ข้างทางข้างๆ ท่านเลยมองไปๆที่ไหนได้ เสือมันนั่งมองดูเราอยู่ มองอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทีแรกรู้สึกเสียวเหมือนกัน พอจากนั้นแล้วรู้สึกเงียบๆ ใจจะว่ากลัวจริงๆ ก็ไม่ใช่ ท่านว่าพอเป็นลักษณะเสียวๆ พอมองไปๆปั๊บ เสือมันนั่งอยู่เหมือนหมานั่งแล้วก็มองดูคน
ตาอะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าตราเสือใช่ไหมล่ะ ท่านมองไปงี้ ตามันก็สบกันแล้ว ท่านก็ผ่านไปเสียพอรู้ว่าเป็นเสือ ท่านก็เดินกลับไปกลับมาอยู่นั่น ท่านก็เลยนึกล่ะซีทีนี่ จะมานอนเฝ้าอะไร ท่านคิดเฉยๆนะนี่ "จะมานอนเฝ้าหาอะไร ถ้าหิวอาหารจะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซี" ท่านว่า พอว่างั้น เสียงมันคำรามขึ้นอย่างแรงเลยนะ โฮก ไปหรือไม่ไปจะทำไมคงจะว่างั้นซิ พอคำรามขึ้นอีกทีหนึ่ง โฮก "โฮ้! ถ้าไม่อยากไปจะเฝ้าอันตรายให้ก็ดี" ท่านว่างั้นนะ
นี่ท่านแก้ปั๊บเลยภายในใจนะ ไม่ได้พูด ไม่มีกิริยาอะไรต่อกันล่ะ มีแต่กิริยาทางนั้นคำราม เพราะทางนี้คิดไม่เข้าท่า จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซี เขานั่งเฉยๆไม่เห็นมายุ่งอะไรกับเราใช่ไหมล่ะ จะไปหาอยู่หากินก็ไปซี จะมานั่งเฝ้าทำไม พอว่างั้น โฮกขึ้น ความหมายว่าอย่ามายุ่งกับเราทำไม ทางนี้ก็ว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ยุ่งและท่านว่า ถ้าไม่ไปหาอยู่หากิน อยากจะเฝ้าอันตรายให้ รักษาอันตรายให้ก็ได้ไม่เป็นไร นี่คิดนะ พอว่างั้น เขาก็อยู่อย่างนั้นเลย
ทางนี้ก็เดินจงกรมต่อไป จนกระทั่งเหนื่อยธรรมดาเรานะ เหนื่อยแล้วก็มาร้าน ทำวัตรไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วนั่งภาวนาจนกระทั่งนอนตื่นขึ้นมาตีสาม ก็ธรรมดาพระกรรมฐานท่านทำอย่างนั้นนี่งานของท่าน คือ งานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พอเสร็จแล้วท่านก็ลงไปเดินจงกรมตรงที่มันเคยนั่งไม่เห็นเลย คงไปแล้ว วันหลังก็ไม่เห็นมาอีก จนกระทั่งท่านจากไปจากที่นั่น ก็ไม่ปรากฏอีกเลยนะ
ที่นี้มันสำคัญตรงที่ว่า ทางนี้คิดว่าไง ท่านว่า ทางนั้นตอบรับความคิดนี้ เหมือนเทวดาจิตใจเหมือนเทพมาสิงสถิตอยู่ในใจของสัตว์ พอคิดอย่างนั้น มันก็ตอบรับกันแบบนั้น "หา จะมาเฝ้ากันทำไม จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซิ" พอว่างั้น ทางนั้นก็โฮกขึ้นเลย ท่านก็พลิกความคิดเสียใหม่ "ถ้าไม่หิว ไม่ไป ก็ไม่เป็นไร จะรักษาอันตรายให้กัน ก็ไม่ว่าอะไร" ทีนี้ก็เลยนั่งอยู่นั่นเสีย แน่ะฟังซี นี่มันมีอะไรนะ
เรานี้เชื่อล่ะว่า ต้องมีเทพบันดาลหนึ่ง ไม่ก็เทพนิรมิตหนึ่ง เป็นได้สองอย่าง เทพนิรมิตนั้น ถ้าเสือก็เหมือนเสือจริงๆ ถ้าคนก็เป็นเหมือนคนจริงๆจะว่าไง ถ้าบันดาลในจิตก็เข้าแทรกในจิต อย่างหลวงปู่มั่นนี้ เราอยากจะพูดว่า เทวดาดูจะตามอารักขาท่านอยู่ตลอดภายในจิตใจ คอยรับทราบความรู้สึก ความเคลื่อนไหวของใจท่านอยู่ตลอดเวลานะ เราอยากจะพูดอย่างนั้น
ท่านผู้ที่จิตบริสุทธิ์แล้ว ไปไหนเหมือนกับว่า มีเทพตามอารักขา เหมือนกับว่า คอยรับข่าว ส่งข่าวเรื่องราวอะไรแสดงออกมาภายนอกให้คนทั้งหลายได้เห็น เช่น อย่างพระสารีบุตรเหมือนกัน พระสารีบุตรท่านรำพึงถึงโรคของท่าน คือ ท่านเป็นโรคริดสีดวง เวลาโรคกำเริบแล้ว ท่านต้องจำกัดอาหารเอาอย่างมากทีเดียว ผิดไม่ได้โรคนี้จะกำเริบใหญ่
ทีนี้วันนั้น ท่านอยู่ในป่ากับพระโมคคัลาน์นะ เพราะทั้งสองนี้ท่านเป็นคู่กันนี่ พระโมคคัลลาน์เลยถามท่าน "เมื่อโลกนี้กำเริบแล้ว แต่ก่อนฉันเคยฉันอะไรที่ถูกกับโรค" ท่านก็บอกว่า "เคยฉันนั้นๆ" นี่เทพทราบแล้วนะ แล้วก็ไปบันดลบันดาลชาวบ้านให้หาอาหารที่ถูกกับโรคมาให้ท่านฉัน เป็นอย่างนั้นนะ จะว่าอะไร อย่างหลวงปู่มั่น นี่ก็เห็นอย่างชัดๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เป็นแต่เพียงเราตาบอดไม่เห็นพวกเทพเท่านั้นแหละ ตาเรามันบอด ถึงมองพวกเทพไม่เห็น ถ้าเป็นกล้วยไม้กล้วยหอม อู๊ย!ตาดี ตาแมวสู้ไม่ได้ล่ะ ลุกวาวๆ
หลวงปู่มั่นนี้ทำให้เราคิดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนล่ะ เหมือนว่าเทพคอยแทรกอยู่ตลอด คอยรับทราบความเคลื่อนไหวของท่านภายในจิตใจนี้ อย่างไปอยู่กับท่านทีแรก ผ่านวิสาขบูชาแล้วเราก็ไป ที่นี้วันเข้าพรรษานั้นเลยล่ะ ปีนั้นผ้าหายากนี่ พ.ศ.2485 สงครามญี่ปุ่นกำลัง....พวกผ้าไม่มีอดอยาก ปีนั้นก็มีพระ 9 เณร 2 อยู่จำพรรษาบ้านโคกนามนด้วยกัน ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น
ทีนี้ก็แจกผ้า พระก็กลัวท่านจะเอามาแจกหมด ความหมาย ผ้าที่เขาเอามาถวายแล้วก็เอาไว้นั้นนะพระท่านก็เลยแยกจากนั้นไป เอาไปไว้ในห้องท่าน ผืนหนึ่งเป็นผ้าอาบน้ำ ผ้าขาวนี่ล่ะ พอดีท่านเข้าไปข้างใน ท่านก็ไปเห็น ทั้งๆที่ยังไม่ได้แจก กำลังจะแจกแล้ว ฉันจังหันเสร็จแล้วก็จะแจกผ้า ท่านเข้าไป
ในห้องของท่าน ซึ่งก็คือศาลากั้นห้องไว้ "ใครเอาผ้ามาวางไว้นี่" ท่านว่างั้น "เอามาวางไว้ทำไม เรากำลังจะแจกพระอยู่นี่" พอว่างั้นแล้ว ก็เข้าไปทำธุระของท่าน เสร็จแล้วท่านก็ออกมา แล้วก็แจกแจกจนหมดเพราะถ้านี้มีไม่ครบพระนะ ดูเหมือนขาดอยู่ผืนเดียว ท่านก็เลยไปคว้าของท่านมา
ถ้าเอาผืนของท่านมาแล้วก็จะพอ แต่มันขาดท่าน พระทั้งหลายก็พูดขึ้น ท่านอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์นี้เอง ก็อันนั้นสำหรับแจกท่านอาจารย์ต่างหาก นี่เอามาทำไม ท่านอาจารย์กงมาท่านเป็นคนตรงไปตรงมา พูดอาจหาญมากนะ "ขาดก็ขาดไปซิ จะเป็นอะไรไป ขอให้ครูบาอาจารย์ได้เถอะ องค์ไหนก็เป็นที่พอใจท่าน" ว่างั้นนะ "องค์ไหนไม่มีความเดือดร้อนใจเดือดร้อนเสียใจ ได้ ไม่ได้ ไม่สำคัญขอให้ครูบาอาจารย์ได้เถอะ" ท่านก็พูดมีเหตุผลนี่ "โอ๊ย!เรามันเป็นผู้ใหญ่ เมื่อไรมันก็ได้" ท่านว่าอย่างนี้นะ แน่ะฟังซิ ผู้ใหญ่ตอบ ก็เราเป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยมันไม่ค่อยได้นะ ผู้ใหญ่ได้อยู่เรื่อยๆ อะไรๆ ก็ได้ ใครเอามาๆก็ให้แต่ผู้ใหญ่แหละ ท่านไม่ยอมเอากลับมา "เอาล่ะ บุญมีหากได้ เอ็งแหละ" ท่านว่างี้
คำพูดนี้ เราก็จับปุ๊บไว้เลยนะ บุญมีหากได้เองแหละ ก็นี้เราทำบุญนี่นะ ก็พอดี แต่ก่อนไม่มีทางรถนะ มีแต่ทางล้อทางเกวียน ทางผู้คนไปมาจากสกลนครถึงอำเภอนาแกก็เหมือนกัน เป็นทางล้อทางเกวียนท่านว่างั้น เราก็จับเอาไว้เป็นข้อคิดแล้ว ค่ำๆ ล่ะที่นี่มีโยมขี้ยาคนหนึ่ง แกไปสกลนครมา แล้วพวกบริษัทแม่นุ่ม ชุวานนท์ นี่เขาฝากผ้ามาโดยเสียค่าจ้างให้ เพราะคนขี้ยาเมื่อจ้างมันแล้ว จะให้ส่งถึงไหน มันก็ส่งได้ ขอให้ได้กินยาเท่านั้นเป็นพอ นี่เขาก็แค่นี้เขาก็ให้ค่ายา กินฝิ่นนั่นน่ะ แล้วก็ถามว่าพระอยู่ในวัดหลวงปู่มั่นมีเท่าไรๆ เพราะเขาเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น มาแต่ไหนแต่ไร แม่ของคุณแม่นุ่มเป็นโยมอุปถัมภ์อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มาดั้งเดิม ท่านเหล่านี้และเป็นสำคัญที่อาราธนานิมนต์ท่านมาสร้างวัดสุทธาวาสทุกวันนี้นะ ก็เพราะท่านเหล่านี้ล่ะเป็นผู้สร้าง
ผู้นี้ก็เป็นโยมอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ได้ถามข่าวคราวเรื่องพระมีจำนวนเท่าไรๆ คนนั้นก็พูดอย่างงูๆปลาๆ "เอ๊! 9 องค์ หรือ 10 องค์ ผมก็จำไม่ชัด เห็นท่านมาบิณฑบาตรจะ9 องค์หรือ 10 องค์นี้แหละ" เรื่องจะให้คนขี้ยาไปวัด ใครจะไป เพราะไม่มียามีฝิ่นอยู่ ถ้ามีฝิ่นอยู่ โห!มันยกไปหมดทั้งโคตรมันเลยแหละ อย่าว่าแต่คนขี้ยาคนนั้นใช่ไหมล่ะ นี้ไม่มีฝิ่นนี่ จะให้มันไปหาอะไร มันพูดได้ขนาดนั้นก็นับว่าเก่งแล้ว
พวกนั้นเขาก็คาดคะเนเอาเลย เขาหาผ้าขาวด้านเทศ ไม่ใช่ผ้าขาวด้ายบ้านที่เราทอนะ เป็นด้ายดิบอย่างดี เนื้อมันก็แน่นเท่ากันในสกลนคร 11 ผืนเลยนะ สะพายได้ไหมก็มาลอง เขาก็ให้ค่าจ้างอย่างแพงด้วย โอ๊ย!ถ้าลงให้ค่าจ้างแพงๆ มากกว่านั้น มันก็สะพายได้คนขี้ยานี่ จนกระทั่งค่ำไปถึงวัด โฮ้ หนักไม่ใช่เล่นนะ ถ้าตั้ง 11 ผืน จากสกลนครมาหาบ้านโคกนั้นมันทาง 22 กิโล เข้าไปในวัดอีก 1 กิโล เป็น 23 กิโล
เวลาเอาผ้าเข้าไป แกก็เล่าเรื่องให้ฟัง เพราะค่ำแล้วนี่นะ เขาสั่งว่าไปนี้ ให้รีบเอาไปถวายท่านเลยนะไม่ให้รอเจ้าของทานเขาสั่งมา ก็ไปถึงแล้วรีบเอาไปถวายท่านเสียก่อน แกจึงได้ไป กำลังเริ่มจะมืด เราจึงถามไปว่าไปสกลฯเมื่อไร ผมไปเมื่อเช้านี้ แล้วทำไมจึงได้ผ้ามา แกเลยเล่าเรื่องให้ฟัง
นี่เหตุที่เราจะรู้ ก็เหมือนกับว่าเทวดาบันดลบันดาลนะ แปลกอยู่หลายอย่าง เราไม่เอามาพูดมากล่ะเอาแต่ว่าเทพบันดลบันดาล เทพนิรมิต แค่นี้ก็พอแล้วแหละ เรื่องเหล่านี้เคยมีมาดั้งเดิม ไม่ใช่มีมาเมื่อวานนี้หรือวานซืนนี้
..............
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี