“ตอนเราลงไปเราแปลกใจ ชาวบ้านถูกเผาบ้านโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน เขาก็ไม่กล้ามาบอกกับเรา แต่พอได้คุยกันแล้วสำรวจได้กว่าร้อยหลังคาเรือน แล้วก็ลงมาอยู่กับญาติ แล้วพอสอบข้อเท็จจริงยังพบอีกว่าสิ่งที่เขาขาด สิ่งที่เขาถูกละเมิดมีอะไรบ้าง ก็ได้รู้จักแกนนำเยาวชน 6-7 คนในหมู่บ้าน หนึ่งในนั้นคือบิลลี่(พอละจี) ที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้แต่ไม่กล้าสื่อสารกับเราส่วนหนึ่งก็เรียนหนังสือกับโรงเรียน ตชด. (ตำรวจตระเวนชายแดน)ในหมู่บ้านด้วย ทีมทนายความก็เก็บข้อมูลและหาผู้สมัครใจในการฟ้องคดี”
เรื่องเล่าจาก ทิพย์วิมล ศิรินุพงศ์ อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้เขียนหนังสือ “ใจแผ่นดิน” ในงานเสวนา “สิทธิการอยู่กับใจแผ่นดินผืนป่าแก่งกระจาน” จัดโดยศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงการต่อสู้คดีของชาวบ้าน “หมู่บ้านใจแผ่นดิน” หรือบ้านบางกลอย-โป่งลึก อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในเขต “อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” ว่า ในปี 2554 ได้รับเรื่องร้องเรียน จึงลงพื้นที่เก็บข้อมูล เช่น มีการเผาและไล่รื้อบ้านรวมถึงยุ้งฉางของชาวบ้าน ต่อมาในปี 2555 คณะทำงานของสภาทนายความฯ ลงพื้นที่อีกครั้ง ซึ่ง“มีเพียง 6 คนที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้คดีกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช” ขณะเดียวกันก็ต้องประสานเครือข่ายในพื้นที่ให้ช่วยเหลือด้านต่างๆ รวมถึงการเรียกร้องสิทธิโดยไปร้องเรียนกับ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และเริ่มกการฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางในเดือน พ.ค. 2555
ระหว่างทางของการเรียกร้องความเป็นธรรม “บิลลี่”พอละจี รักจงเจริญ ชายหนุ่มผู้เป็นแกนนำชาวบ้านใจแผ่นดิน ถือเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ” ในการประสานงานระหว่างชุมชนกับทีมทนายความ เช่น ไปสอนให้เยาวชนในหมู่บ้านรู้จักการบันทึกข้อมูล หรือพาชาวบ้านไปร่วมเวทีประชุมเสวนาต่างๆ ก่อนจะหายตัวไปในเดือน เม.ย. 2557 แล้วมาพบทีหลังในปี 2562 ว่าถูกฆาตกรรมอำพรางศพในถังน้ำมัน
“สิ่งที่บิลลี่ช่วยได้มากเลยคือเขาเป็นคนกล้าตัดสินใจ เขาบอกว่าจะไปหาข้อมูลให้ พี่สอนผมมาเลยว่าผมควรจะถามชาวบ้านอย่างไร พี่จะเอาข้อมูลในส่วนไหน หนึ่งในผลงานที่สวยงามคือแผนที่ทำมือ ที่เอาใส่ไว้ในหนังสือใจแผ่นดินด้วย บิลลี่เดินถามทั้งหมู่บ้าน ถามเรื่องน้ำ ชีวิตความเป็นอยู่ ในแผนที่มันจะแสดงจุดเผาในแต่ละจุด ในส่วนนี้เขาเดินตามหาทุกคนว่าบ้านถูกเผาในจุดไหน ก่อนบิลลี่จะหายเขาพูดว่า พี่!ผมถูกตาม ก็เลยบอกไปว่าหยุดก่อน ก็คือต้นปี 2557 แต่เขาก็บอกว่าผมไม่กลัว ผมใช้หลายเส้นทางไม่ใช่เส้นทางเดียว” ทิพย์วิมล กล่าว
ขณะที่ “มึนอ” พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่-พอละจี กล่าวเสริมว่า “เมื่อก่อนอยู่ในป่า ทำไร่หมุนเวียน ก็อยู่ได้แทบไม่ต้องเสียเงิน” มีไม่กี่อย่างที่ต้องซื้อหา เช่น เครื่องมือเครื่องใช้จำพวกมีด จอบ “แต่เมื่อถูกให้โยกย้ายลงมาอยู่ในเมืองไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้” ทุกอย่างต้องซื้อหาทั้งหมด ยิ่งถ้าคนที่ใช้ภาษาไทยได้ไม่คล่อง รวมถึงคนที่อยู่อาศัยในป่ามาตลอดทำให้ไม่มีเอกสารสิทธิ์แสดงตน จะเดินทางข้ามเขตหรือไปหางานทำก็ยิ่งยากลำบาก
ด้าน พฤ โอโดเชา ผู้ประสานงานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ที่ได้เข้าไปช่วยคณะทำงานของสภาทนายความฯ คดีหมู่บ้านใจแผ่นดิน เล่าว่าชีวิตของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ที่เพราะอยู่แต่ในป่าบนดอยจึงมีปัญหา “ไม่รู้สิทธิ” ไม่รู้ว่าจะเรียกร้องอะไร เรียกร้องได้อย่างไร จึงถูก “เอารัดเอาเปรียบ” จากผู้ถืออำนาจทั้งกฎหมายและอาวุธอยู่เรื่อยมา กระทั่งต่อมาคนในหมู่บ้านมีโอกาสได้รับรู้เรื่องสิทธิต่างๆ ที่พึงมีพึงได้ จึงนำไปสู่การตั้งคำถามและการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย
“บ้านกะเหรี่ยงที่เชียงใหม่ ตอนผมเด็กๆ ถนนยังไม่มี ถ้าลูกคนไหนร้องไห้พ่อแม่จะบอกว่าคนเมืองมาอย่าร้องไห้ เด็กก็เงียบ พี่ๆ น้องๆ ก็จะหลอกกันอย่างนี้ เพราะแต่ก่อนตอนเขาเข้าไปในหมู่บ้าน เขามีอาวุธ ทางการขึ้นไปจะยิงหมู ยิงไก่จะกินอะไรก็ได้ แล้วก็เก็บภาษี ถ้าเราไม่มีจ่ายเขาก็เอาเรามาเป็นคนทำงานในโรง มีภาษีหัวหมู ภาษีหัวไก่ คนบนดอยก็เกิดความกลัว” พฤ กล่าว
เรื่องราวการต่อสู้ของชาวบ้านใจแผ่นดิน ต้องบอกว่า “เจ็บปวด” เพราะแม้ท้ายที่สุด ในวันที่ 12 มิ.ย. 2561 ศาลปกครองสูงสุด จะมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดําที่ อส.77/2559 หมายเลขแดงที่ อส.4/2561 ให้กรมอุทยานฯ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านใจแผ่นดินจากเหตุเผาไล่ที่ชุมชนดังกล่าว โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีชื่อหมู่บ้านใจแผ่นดินปรากฏในแผนที่ทางทหารมาตั้งแต่ปี 2455 ลบล้างข้อกล่าวหาจากภาครัฐที่บอกว่าชาวบ้านใจแผ่นดินเป็นคนต่างด้าวบ้าง เป็นผู้บุกรุกพื้นที่ป่าบ้าง
แต่เพราะชาวบ้านไม่มีเอกสารยืนยันสิทธิในที่ดินนั้น ศาลจึงไม่สามารถตัดสินให้กลับไปอยู่ ณ พื้นที่เดิมได้ จนเกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าคือ “ปู่คออี้” โคอิ มีมิ ชายชาวกะเหรี่ยงอายุ 107 ปีที่ต่อสู้ในประเด็นนี้มาตลอดกระทั่งจากโลกไปในเดือน ต.ค. 2561 หรือ 4 เดือนหลังศาลปกครองมีคำพิพากษา ไม่มีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายที่บ้านเกิดอย่างที่คาดหวังไว้
“กะเหรี่ยงควรจะได้อยู่ที่นั่นต่อเพื่อเรียนรู้ภูมิศาสตร์แถวนั้นสืบทอดกันเป็นรุ่นๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร จีพีเอส (GPS-ระบบระบุพิกัดผ่านดาวเทียม) มันไม่มี แล้วถ้า GPS บอกให้คุณไปแต่มันเจอผาแล้วคุณตกจะทำอย่างไร แล้ววนไป-มาจนถ่าน GPS หมดแล้วอย่างไรต่อ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นกะเหรี่ยงอยู่ที่นั่นใช้องค์ความรู้สูงมาก ลำบากกว่าที่ผมอยู่เชียงใหม่ แต่เขาอยู่ สังคมไทยน่าจะอนุญาตให้เขาอยู่ ให้เขาเป็นผู้เรียนรู้ ปกป้อง นำทางและบ่งบอก เป็นแนวกันชนได้ด้วย เขาอยู่ฝั่งไทย เขาเป็นคนไทยมานานแล้ว” พฤ กล่าวในท้ายที่สุด
ปัจจุบันคดีฆาตกรรมบิลลี่-พอละจี อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ-DSI) ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าท้ายที่สุดจะมีใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารโหดครั้งนี้ แต่สิ่งที่สังคมไทยต้องคิดคู่ขนานกันไปคือ“คนกับป่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้หรือ..ต้องไล่คนออกจากป่าเท่านั้นหรือ” เพราะที่ผ่านมาก็มีต้นแบบในหลายชุมชนที่บริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ได้อย่างลงตัว สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยที่ไม่ได้ทำให้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอย่างที่คนภายนอกโดยเฉพาะบรรดาคนในเมืองเข้าใจ
“กฎหมายต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง”คนที่อยู่กับป่าต้องสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในป่าได้ จึงจะทำให้เกิดการอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี