"พฺรหฺมา จ โลกา" นี่ลงมาในนามของท้าวมหาพรหม ลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก เป็นบุคลาธิษฐานเข้ามา ส่วนธรรมาธิษฐานที่มีอยู่ในพระทัยก็คือ พระเมตตาล้วนๆ ที่จะสั่งสอนสัตว์โลก แต่กำลังพิจารณาวิญญาณดูสัตว์โลกเวลานั้นท้าวมหาพรหมก็เข้ามาผ่านในระยะนั้น
พอพูดอย่างนี้เราก็ยังระลึกได้ ยายแก่คนที่ว่าอยู่หนองผือชื่อ กั้ง แกอยู่บ้านของแก หลวงปู่มั่นอยู่วัด พวกเทพทั้งหลายมาเฝ้าฟังธรรมเทศนาว่าการ ถามปัญหาต่างๆ กับหลวงปู่มั่น ทางนั้นแกอยู่บ้านฟังซิน่ะ แกเรียนหนังสือที่ไหน คนสมัยนั้นไม่ได้เรียนหนังสือแหละ ตั้งแต่แม่หลวงตาบัว ยังไม่เห็นได้ โคตรหลวงตาบัว ยังไม่เห็นได้หนังสือเลย จะมีกระเด็นออกมาแต่หลวงตาบัว ได้หนังสือมา ไม่ได้มาก ก็เพียงพอโกหกโลกก็เอา ว่าหลวงตา ป.3 เขาก็ได้ เราก็ได้ ป.3
แต่นั่งภาวนาก็เห็นพวกเทพทั้งหลายมา นี่แหละหลักความจริงที่เห็นด้วยความจริง ด้วยจิตด้วยญาณความหยั่งทราบของแก แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอะไรเลย แกดูของจริง ของจริงที่ผ่านเข้ามาๆ แกก็ดูมาเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นฟัง โอ๋ย!พระเณรนี้เต็มหมดเลย ถ้าวันไหนยายกั้งมา วันนั้นพระเณรรีบล้างบาตร เช็ดบาตรปุบปับๆ เสร็จแล้วก็แอบเข้ามา ทางนี้ก็ขึ้นไป ศาลาเตี้ยๆดูจะประมาณเมตร เมตรกว่าเท่านั้นแหละมั้ง เป็นสองพัก พักล่าง พักหนึ่งพระท่านฉัน ศาลาไม่ใหญ่และพอฉันเสร็จแล้วแกก็ขึ้นมา เราทัพพีก็แอบอยู่นั่นแหละ ทัพพีแอบอยู่กับหม้อแกงนั้นแหละ แต่ไม่ได้รสได้ชาดของหม้อแกง สู้ยายกั้งไม่ได้ เวลาแกมาบรรยาย แกไม่ได้สงสัยนะ แกถามเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เอาความจริงมาถาม "ทำไมพวกอะไรๆที่มาจากข้างบนๆนั่นน่ะ ไม่ได้เหมือนกันเลย"
นั่นฟังซิน่ะ "ความละเอียดลออต่างกันเป็นลำดับลำดา มาเป็นคณะๆ โอ๋ย!เต็มท้องฟ้า มาลงๆ เข้าหนองผือๆ มาเป็นระยะๆ เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวของหลักธรรมชาติของความจริง แต่ละคณะๆไม่เหมือนกันเลย ทำไมเป็นอย่างนั่น ทำไมไม่เหมือนกัน แล้วสุดท้ายที่เหลืองๆมานั่น โอ๋ย!เหลืองอร่ามไปหมดเลย แพรวพราวสว่างไปหมด มาที่ไหน. สว่างไปหมด อันนี้้เหลืองอร่าม" แกว่านะ
เราก็จะคอยฟัง ทัพพีคอยฟัง ถึงไม่ได้ซด ได้ดูก็เอา ท่านก็ไม่พูดมากแหละ เพราะอันนี้เป็นสิ่งภายนอก มีการกระทบกระเทือนได้ มีส่วนเสียได้ ท่านก็พูดพอเหมาะ เห็นไหมจอมปราชญ์ นั่นเป็นอย่างงั้นนะ
ท่านก็แยกออกไป มันเป็นด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของคนและสัตว์ อยู่ในมนุษย์เราก็ไม่เหมือนกัน มีคนทุกข์ คนมี คนโง่ คนฉลาด คนกรรมหนักกรรมเบา อันนี้พวกเทพทั้งหลายก็อยู่ในอำนาจแห่งกรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่าเทพ ท่านไม่บอกว่า เทวดงเทวดากว้างขวางอะไร ท่านบอกว่า พวกเทพ อันนี้เขาก็อยู่ในวงกรรมเช่นเดียวกัน
พวกนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมต่างกัน พวกที่หยาบ ก็เทียบเอาเรื่องความหยาบความละเอียด พวกนี้เป็นอย่างนั้น พวกนั้นเป็นอย่างนั้น มาตามขั้นตามภูมิของตนๆ ที่มีกรรมเหมือนกัน ก็มาด้วยกันอย่างนี้ กรรมประเภทหนึ่งๆ เป็นชั้นๆ มาท่านก็ย่อเอาว่า เป็นพวกเทพ เขามีหลายคณะมีหลายชั้นที่มา สวรรค์แต่ละชั้นๆ ต่างๆกัน
ทีนี้พอสุดท้ายแล้วก็ที่เหลืองๆ นั่นล่ะ แกถาม อู๊ย!จ้อนะ "ที่เหลืองๆ อร่ามสวยมาก สว่างไปหมดนั้นคืออะไร นั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ เหลืองอร่ามไปหมดเลย" แกว่ามาสุดท้าย
"เออ!นั่นท้าวมหาพรหม" ท่านพูดเท่านี้แหละ ท่านไม่พูดมาก นั่นท้าวมหาพรหม แกฟัง ฟังจริงๆนะ จ้อเลย คือ แกได้เรื่องของแกมาแล้ว แกจะคอยฟังจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านก็อธิบายให้ฟังย่อๆ ไม่มาก ไม่เหมือนทางภายในแก้กิเลส ถ้าเป็นเรื่องแก้กิเลสใส่ผางๆ เข้าไปเลย เรื่องอย่างนั้นท่านพูดเพียงเล็กน้อย เมื่อมีผู้มาเกี่ยวข้อง. ท่านก็แยกแยะเพื่อให้เป็นหลักสักขีพยาน ตรงไหนๆ ที่ควรเตือน ท่านเตือนนะพวกนี้ เกี่ยวกับพวกนี้ท่านก็เตือนเหมือนกัน แน่ะเห็นไหมล่ะ แกไม่รู้ท่านเตือนเห็นไหมล่ะ ต่างกันอย่างนี้
เวลาแกมา พูดอย่างไม่สะทกสะท้านนะ นี่ล่ะคนเราเมื่อเอาความจริงที่รู้ด้วยตนเองชัดเจนแล้วมาถาม ไม่ได้สงสัยมีแต่คอยจ้อจะเอา ทางนี้ถามเป็นยังไง จ้ออยากฟังนี่ล่ะเรื่องของยัยกั้ง แกพูดอย่างนั้น แต่นานๆมาทีหนึ่งมาทีไหนเรียกว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ท้องฟ้านี้สว่างไสวไปหมดเลย พวกนี้มาท้องฟ้าอากาศนี้สว่างไปหมดยิ่งคณะเหลืองๆ มายิ่งสว่างใหญ่ อันนี้ยิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าที่ผ่านมาทั้งหลาย ท่านมียิ้มนิดนึง
น่าฟังนะเวลาแกพูดแกพูดอย่างตรงไปตรงมา แกก็ยังมาถามนะ แกก็มีความแยบคายของแก "หลวงพ่อก็พ้นจากทุกข์ไปหมดถึงนิพพานแล้ว ยังทำความพาก ความเพียรหาอะไรอีก" บทเวลาจะถาม คนตรงไปตรงมาอย่างนั้นแหละ "ก็จิตของหลวงพ่อถึงนิพพานแล้วสว่างครอบโลกไปหมดเลย แล้วหลวงพ่อจะภาวนาหาอะไรอีก" ทางนี้ก็ตอบดีนะ ภาวนาจนตายแหละ เขาถึงเรียกนักรบ "ท่านว่าก็น่าฟังก็ไม่ทราบว่าจะรบกับอะไร" ก็รบกับความขี้เกียจขี้คร้านให้โลกนั่นแหละท่านแยกไปนั้นนะ รบกับความขี้เกียจ ขี้คร้านให้โลก เพราะโลกมันขี้เกียจ นั่นเห็นไหม
ท่านตอบน่าฟัง ทางนั้นหัวเราะ ฮ่าๆๆ แกถูกใจหัวเราะฮ่าๆๆ นั่นเห็นไหมล่ะ "หลวงพ่อจะทำภาวนา ไปหาอะไร ก็หลวงพ่อถึงนิพพาน สว่างครอบโลกไปแล้วจะมาภาวนาหาอะไรอีก" ภาวนาจนวันตายแหละ ท่านว่า "เพื่อชำระความเกียจคร้าน ความเกียจคร้าน ก็ของพวกเรานี่แหละ" แน่ะท่านก็ตีมาตรงนี้ ท่านไม่ได้ว่า เพื่อชำระความเกียจคร้านของท่าน ความเกียจคร้านของพวกปะเขปะขา มันออกอ้อมแอ้มอยู่ตามนั้น
แกถูกใจหัวเราะฮ่าๆๆ นี่ล่ะเห็นไหมเป็นยังไง แกถามใครว่า เทวดามีหรือไม่มี แกถามใครเมื่อไร พ่อแม่ครูอาจารย์ค้านเมื่อไร ไม่เห็นค้าน เป็นอย่างงั้นแหละ ของจริง ถ้าลงได้เจอเข้าแล้ว ไม่ต้องไปถามใคร ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ค้านหรือไม่ค้าน ไม่สนใจ ความจริงเต็มสัดเต็มส่วน ไม่จำเป็นต้องหาสักขีพยานมาจากที่ไหนอีกแล้ว จ้าเข้าไปเลย ภายในก็เหมือนกัน กิเลสสิ้นซากลงไป ผางเท่านั้นก็แบบเดียวกัน อันนี้ยิ่งอยู่กับจิตด้วย อันนั้นยังมาเกี่ยวข้อง อันนี้อยู่กับจิต มันจ้าเข้าไปแถวนี้มันก็หมดเลย
..............
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี