จังหวัดพะเยา..มีพื้นที่เพาะปลูก “ข้าวหอมมะลิ” ประมาณ 417,395 ไร่โดยปลูกมากใน อ.ดอกคำใต้ และ อ.จุน รองลงมาคือ อ.เมือง มีผลผลิตรวมประมาณ 181,340 ตัน แบ่งเป็นผลผลิตด้านเมล็ดพันธุ์และเพื่อการบริโภคประมาณ 60,000 ตัน เหลือจำหน่ายประมาณ 121,340 ตัน โดยมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งทำสัญญารับซื้อข้าวหอมมะลิที่ปลูกระบบ GAP (Good Agricultural Practices) หรือที่เรียกว่าข้าวพรีเมียม ในแบบประกันราคาที่ 40,000 ตัน ในความชื้นร้อยละ 15 ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 81,340 ตันเศษ กลายเป็น “ข้าวส่วนเกิน” ที่ต้องขายในราคาต่ำกว่าที่ควรขายได้
วารัชต์ มัธยมบุรุษ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม จากคณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา เล่าถึงการศึกษาห่วงโซ่อุปทานข้าวในพื้นที่นำร่อง คือ พื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิใน ต.หนองหล่ม อ.ดอกคำใต้ พบว่าในฤดูกาลที่ผ่านมามีข้าวพรีเมียม มีกำลังการผลิตประมาณ 6,473 ตันต่อปีในพื้นที่ 5,832 ไร่ สามารถขายให้กับโรงสีที่มารับซื้อได้เพียงกิโลกรัมละ 11.50-13.50 บาท หรือตันละ 11,500-13,500 บาทเท่านั้น ต่างจากข้าวข้าวพรีเมียมที่บริษัทเอกชนทำสัญญารับซื้อล่วงหน้านั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาทหรือตันละ 18,000 บาท
จึงเป็นที่มาของโครงการวิจัย “มหาวิทยาลัยพะเยา : กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น”ของ ม.พะเยา ซึ่งเป็น 1 ใน 6 มหาวิทยาลัยที่รับทุนวิจัยภายใต้โครงการ “มหาวิทยาลัยกับการพัฒนากลไกเพื่อดูดซับเศรษฐกิจภายในพื้นที่” โดยการสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำหรับโครงการวิจัยระยะ 15 เดือนของ ม.พะเยา คือการพัฒนากลไกดูดซับทางเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพรีเมียม (ข้าวหอมมะลิ GAP) ในพื้นที่ จ.พะเยา เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนก.ย. 2562
“เป้าหมายของงานวิจัยเราในระยะแรกก็คือ การสร้างกลไกที่จะทำให้คนของมหาวิทยาลัยพะเยาได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพเหล่านี้ สิ่งที่ทีมวิจัยกำลังดำเนินการในขณะนี้ก็คือ การสร้างกลไกการรับซื้อข้าวจากเกษตรกรของต.หนองหล่ม ผ่านการสีข้าวจากโรงสีชุมชน และส่งข้าวเหล่านี้มาที่มหาวิทยาลัย โดยในระยะแยก ได้ทำความร่วมมือกับโรงสีชุมชนเพื่อให้ส่งข้าวพรีเมียมมาให้กับมหาวิทยาลัย เดือนละ 2 ตัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนก.พ. 2563
โดยทาง ม.พะเยาจะส่งข้าวสารเหล่านี้ให้กับเรือนเอื้องตำ ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ผลิตอาหารให้นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยาและงานจัดเลี้ยงของมหาวิทยาลัย และร้านอาหารในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการอย่างน้อยอีก 2 ราย เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้นำข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพไปหุงแทนข้าวขาวผสมข้าวหอมมะลิเดิม” อาจารย์วารัชต์กล่าว
อาจารย์วารัชต์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อผู้บริโภคที่คุ้นชินกับการทานข้าวขาวผสมข้าวหอมมะลิได้มีโอกาสรับประทานข้าวหอมมะลิแท้ เชื่อว่าจะเกิดการยอมรับและบอกต่อไปยังผู้บริโภครายอื่นๆ ทำให้ร้านอาหารต่างๆ ในมหาวิทยาลัยสนใจที่จะสั่งซื้อข้าวพรีเมียมภายใต้โครงการวิจัยไปประกอบอาหารมากขึ้น โดยหากร้านอาหารทุกร้านในมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการข้าวพรีเมียมเพิ่มจาก 2 เป็น 16 ตันต่อเดือน
รวมกับการผลักดันให้โรงเรียนสาธิตของเรา เปลี่ยนมาซื้อข้าวพรีเมียมไปประกอบอาหารเช้าและเย็นให้กับนักเรียนอีกเดือนละ 2 ตัน ก็จะทำให้เกิดความต้องการข้าวพรีเมียมเพิ่มเป็น 18 ตันต่อเดือน คิดเป็นเงินที่ถึงมือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพรีเมียมปีละ 6.696 ล้านบาทหรือเท่ากับการขายข้าวเปลือกได้ในราคากิโลกรัมละ 16 บาทสูงกว่าราคารับซื้อของโรงสีในปัจจุบัน และจะช่วยดูดซับข้าวเปลือกส่วนเกินได้ปีละ 418 ตันต่อปี
สำหรับ “เป้าหมายต่อไป” อาจารย์วารัชต์เปิดเผยว่า จากการสำรวจพฤติกรรมนิสิตและบุคลากรใน ม.พะเยา พบว่า นิยมซื้อข้าวสารบรรจุถุงจากร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกที่เป็นข้าวขาวผสมข้าวหอมมะลิ ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องการให้มีข้าวบรรจุถุงที่เป็นข้าวหอมมะลิแท้ 100 เปอร์เซ็นต์มาวางขายเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่คณะผู้วิจัยกำลังจะพัฒนาต่อไปก็คือ การสร้างกลไกการผลิต บรรจุ และจำหน่ายข้าวพรีเมียมบรรจุถุงร่วมกับโรงสีชุมชนหรือ
โรงสีขนาดกลาง
รวมถึงร้านค้าของมหาวิทยาลัยและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทั้งในและโดยรอบมหาวิทยาลัย เพื่อให้มีการวางจำหน่ายข้าวพรีเมียมในราคาที่เท่ากับหรือสูงกว่าข้าวสารบรรจุถุงที่เขาเคยซื้อไม่มากนัก ซึ่งทั้งหมดนี้คือการสร้างกลไกการดูดซับ เพื่อดึงข้าวส่วนเกินออกจากตลาดให้มากขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อราคาข้าวข้าวหอมมะลิ GAP ของ จ.พะเยา โดยรวม
ด้าน อุไรวรรณ ภู่วัตรผู้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดข้าวสร้างสุข เล่าว่า หจก.ข้าวสร้างสุข เกิดจากการทำงานร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มชาข้าวก่ำ (ข้าวลืมผัว)บ้านต๊ำพระแล ต.บ้านต๊ำ อ.เมือง ที่ ม.พะเยา เข้าไปสนับสนุนความรู้ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพและลดต้นทุน โดยทาง หจก. ใช้ชื่อสินค้าว่า “iRICE” ทั้งนี้ เกษตรกรยังได้รับความช่วยเหลือจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น พันธุ์ข้าว รวมถึงการพัฒนาทักษะและการอบรมต่างๆ ผ่านกลไกวิสาหกิจชุมชนด้วย
“หจก.ข้าวสร้างสุข จะจ่ายเงินล่วงหน้าให้เกษตรที่เป็นสมาชิกเพื่อจัดหาพันธุ์ข้าวและปัจจัยการผลิตที่จำเป็น รวมถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการผลิตข้าวเปลือก
อินทรีย์ที่ได้มาตรฐานระดับประเทศ พร้อมทั้งรับประกันราคาและปริมาณการซื้อข้าวอินทรีย์ที่ชาวนาแต่ละรายผลิตได้ โดยจะนำข้าวเปลือกเหล่านี้ไปทำเป็นข้าวอินทรีย์บรรจุถุง รวมถึงแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารและเครื่องสำอาง” อุไรวรรณ กล่าว
อุไรวรรณยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันทาง หจก.ข้าวสร้างสุข ลงทุนอย่างครบวงจร โดยมีโรงสีข้าวขนาดเล็ก ซื้อเครื่องจักรมาทดลองบรรจุเอง การเพาะปลูกทำเอง
ทุกขั้นตอนตั้งแต่คัดเมล็ดพันธุ์ ปลูก และเก็บเกี่ยวนอกจากนี้ยังทำปุ๋ยหมักเพื่อลดต้นทุนการผลิต ขณะเดียวกันก็ได้ออกผลิตภัณฑ์จากข้าวลืมผัว อาทิ ชาข้าวก่ำ สแน็คข้าวก่ำ ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า สมาชิกกลุ่มข้าวสร้างสุขทั้งหมดจะต้องปลดหนี้ได้ทั้งหมด
“หากมีความขยัน มีวินัยในการทำงานและการบริหารเงิน จะไม่อดตายและปลดหนี้ได้ทั้งหมดแน่นอน” ผู้ก่อตั้ง หจก.ข้าวสร้างสุข กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี