หลังหลายประเทศปิดเมืองยับยั้งโควิด-19 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นับว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2534 ที่เกิดสงครามอ่าว (Gulf War) โดยหลายประเทศทั่วโลกได้มีมาตรการปิดเมืองเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสร้ายโควิด-19 ที่กระจายไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้า รวมถึงประชาชนบ่นอุบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ประชาชนหาเช้ากินค่ำจะตายกันหมด บรรดาเจ้าสัวนายทุนสิรอด"
ทั้งนี้ "ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์" ได้พูดคุยกับ "นางสาวกันยกร นามวงษ์" อายุ 29 ปี อาชีพค้าขาย เปิดเผยว่า ค้าขายในปัจจุบันนอกจากเสี่ยงดวงว่าจะขายดีหรือไม่ดีในแต่ละวันแล้ว ยังต้องเสี่ยงต้อนรับลูกค้ามากหน้าหลายตาด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาติดโควิด-19 หรือเปล่า และเราจะติดจากเขาหรือเปล่า ซึ่ง “ของก็อยากขาย แต่โรคก็กลัว” ทำให้ทุกวันนี้บรรดาร้านค้าต่างเงียบเหงาซบเซาด้วยพิษของโควิด-19 เพราะประชาชนไม่กล้าออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของประกอบกับที่ร้านขานรับนโยบายรัฐ “ปรับตัวสู้โควิด-19” โดยที่ร้านได้ขอความร่วมมือจากลูกค้าทุกคนให้เปลี่ยนจากนั่งกินอาหารที่ร้าน เป็นซื้อใส่ถุงกลับไปกินที่บ้านพร้อมครอบครัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ซึ่งปกติลูกค้าจะนั่งกินที่ร้านเป็นประจำทำให้แรกๆอาจจะไม่ชิน แต่เราก็ต้องขอความร่วมมือจากเขา ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวลูกค้าเองด้วย และแน่นอนว่าเราเปิดร้านขายอาหาร ดังนั้นเราต้องซื้อวัตถุดิบเพื่อมาปรุงอาหาร แต่ด้วยผู้คนตื่นตระหนกเรื่องโควิด-19 ทำให้สินค้าอย่างไข่ไก่ขึ้นราคา จากปกติที่เคยซื้ออยู่ที่แผงละ 80-90 บาท แต่ตอนนี้ราคาพุ่งเป็น 170 บาทแล้ว ซึ่งมันไม่น่าจะขึ้นสูงขนาดนี้ เพราะจากการติดตามข่าวบอกว่าไทยสามารถผลิตไข่ไก่ได้ประมาณ 41 ล้านฟองต่อวัน เพียงพอต่อผู้บริโภคแน่นอน
“เราตื่นตัวเรื่องไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่แรกๆ ที่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นอยู่แล้ว และติดตามข่าวโรคระบาดดังกล่าวเพราะเป็นเรื่องใกล้จึงเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว แรกๆที่รู้ว่ามีคนไทยในกรุงเทพฯ ติด ที่ร้านก็เริ่มเปลี่ยนวัสดุใส่อาหารจากชาม-จานเป็นใช้พลาสติกใสใส่อาหารแทน และตะเกียบ ช้อน ส้อม ที่ร้านเก็บทำความสะอาดเรียบร้อยลงกล่องอย่างดี หันมาใช้ตะเกียบ ช้อน ส้อมแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งแทน เพื่อความปลอดภัย” นางสาวกันยกร กล่าว
นางสาวกันยกร กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น ก็ไม่น่าใช่ปัญหาเรื่องของระบบขนส่ง จึงเป็นเรื่องที่นายทุนไม่สามารถใช้มาอ้างในการขึ้นราคาสินค้าได้ แต่อยากให้ลดราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อย่างเช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงวิกฤตินี้ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนช่วยเหลือกัน เพราะหลายอาชีพได้รับผลกระทบ ทำให้ขาดรายได้ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวของพวกเค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงยังครอบครัวของพวกเค้าและเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศอีกด้วย
"หากร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าสัวรายใหญ่ใช้โอกาสนี้ในการขึ้นราคา หรือเปลี่ยนลักษณะการขายสินค้าจากขายปลีกมาเป็นลักษณะขายส่งทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าจำนวนครั้งละมากๆ อาจทำให้ครอบครัวที่มีรายได้รายวันมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวได้ตลอดรอดฝั่งในช่วงเดือนหรือสองเดือนนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สังคม อาชกรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะการขาดปัจจัยในการมีเงินหมุนเวียน จนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือขาดการตัดสินใจอย่างถูกต้องจนถึงขั้นต้องจบชีวิตตนเองในทางตรงกันข้ามหากร้านค้าต่างๆ
โดยเฉพาะเจ้าสัวรายใหญ่ใช้โอกาสนี้กระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง อาจจะไม่ถึงกับต้องลดราคาเพียงแต่ไม่ฉวยเหตุการณ์วิกฤติ ณ ตอนนี้ขึ้นราคา ก็อาจจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในประเทศได้บ้าง หรือหากทางร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าสัวรายใหญ่ใช้ช่วงเวลานี้ลดราคาสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำ CSR (Corporate Social Responsibility) เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หรือหวังผลประกอบการในระยะยาวและก่อให้เกิด Brand Loyalty หลังวิกฤติการณ์ผ่านพ้นไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย เพราะในช่วงนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งก็น่าจะลดต้นทุนลงเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมาก และนี่อาจแสดงถึงความเอื้อเฝื้อและความรักความสามัคคีของคนไทยที่จะพากันผ่านพ้นวิกฤติการณ์ Covid 19 ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดไปด้วยกัน”
ขณะ "กิตติวัฒน์ สมพงษ์" อายุ 22 ปี นักศึกษาจบใหม่ กล่าวว่า ถ้าจะให้บรรดานักธุรกิจนายทุน อย่างเจ้าสัวต่างๆ ลดราคาสินค้าเขาคงจะไม่ลดให้เราแน่นอน เพราะเขามีรายจ่ายที่เป็น fixed cost ของเขาอยู่แล้ว โดยตัวเขาเองก็มีลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบ แต่ขอแค่ไม่ขึ้นราคา และจัดสรรกันให้ทั่วถึงให้เหมาะสม ไม่ให้ถูกโก่งราคาเหมือนหน้ากาก เจล อะไรพวกนี้ก็พอ
แต่ถ้ามองในส่วนของประชาชนที่เขาไม่ได้มีรายได้ประจำ อันนี้น่าเห็นใจ ควรมีหน่วยงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือเขา ไม่อย่างนั้นการ lock down คงไม่ได้ผล เพราะเงินก็ไม่มีไหนยังต้องไปแย่งกันซื้อข้าวปลากินอีก ถ้าเรื่องนี้เกิดกับตัวเองก็คงหนีกลับบ้านอยู่ที่บ้านตามที่เราเห็นในหน้าข่าวนั่นแหละ เพราะมันไม่มีทางเลือกจริงๆ คืออยู่ก็อดตาย รายได้ก็ไม่มี ค่าครองชีพก็สูง แต่ถ้าเขาจัดสรรมาให้เหมือนที่เกาหลี ญี่ปุ่น จัดส่งถึงหน้าบ้าน แบบนี้น่าจะช่วยเหลือกันได้มากกว่า
ด้าน "นายวรกร เข็มทองวงศ์" อายุ 34 ปี อาชีพนักเขียนอิสระ กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ควรลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลงในบางส่วนในรายการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพราะต้องเข้าใจภาพรวมว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเรากำลังเผชิญปัญหาวิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก และทุกคนกำลังได้รับความเดือดร้อน ฉะนั้นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ควรพิจารณาเรื่องของการลดราคาสินค้า
โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในทุกๆรายการ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตต่อไปได้เป็นปกติ และที่สำคัญในบางธุรกิจใหญ่ๆ ของเหล่าเจ้าสัวทั้งหลายควรพิจารณาลดราคา อย่าง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต เพราะภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ได้ขอให้ประชาชนอยู่บ้านงดเดินทาง หรือพบปะสังสรรค์ ฉะนั้นการที่เหล่าธุรกิจใหญ่เข้ามาช่วยเหลือโดยการลดค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ก็จะทำให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ที่บ้าน หรือคนที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านก็สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี