(ถอดความจากการบรรยายของ รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “งาน ชีวิต และโรคระบาด: แรงงานนอกระบบกับสถานการณ์โรคโควิด-19” จัดโดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย. 2563)
รศ.ดร.นฤมล : ณ ขณะนี้แรงงานในระบบ-แรงงานนอกระบบเผชิญปัญหาไม่ต่างกัน ในลักษณะของการไม่มีงานและไม่มีเงินคิดว่าในประเด็นของแรงงานนอกระบบจะซับซ้อนกว่าในแง่ของทุน ทุนทางเศรษฐกิจหรือว่าที่เกิดจากหลักประกันทางสังคมไม่เท่าแรงงานในระบบ อันนี้คือประเด็นที่ 1 อันที่ 2 นี่มันเกิดจากความซับซ้อนในเรื่องของการทำความเข้าใจกับอาชีพ การมองไม่เห็นแรงงานนอกระบบไม่ได้เป็นเฉพาะเราไม่เข้าใจตัวตนของเขา แต่มันเป็นเรื่องของระบบฐานข้อมูลบางอย่าง ซึ่งระบบฐานข้อมูลทำให้เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน
แต่ในทางปฏิบัติแล้วเราก็จะพบว่ากลุ่มที่เราคิดว่ามีตัวเลขชัดเจนคือกลุ่มของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เท่าที่ดูฐานข้อมูลชัดเจนที่สุดเพราะเขาต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกและต้องมีวินชัดเจน จะไม่พูดถึงวินที่ไม่ถูกกฎหมาย วินที่ถูกกฎหมายเขามีตัวเลขชัดเจนว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหนบ้าง ฉะนั้นในเรื่องการให้ความช่วยเหลือหรือการคุยระหว่างปัญหาของเขาเมื่อเทียบกับแรงงานกลุ่มอื่น เช่น รับงานไปทำที่บ้าน หรือกลุ่มทำงานบ้าน (คนรับใช้ในบ้าน) คิดว่ากลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะชัดเจนกว่า
“แต่ในสถานการณ์ความเสี่ยงของอาชีพนี้ก็จะไม่เหมือนกันอีก อันนี้ก็แปลว่าเรายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีความเข้าใจหรือว่ายังไม่มีตัวเลขข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับงาน อาชีพและความเป็นอยู่ของแรงงานกลุ่มนี้ ฉะนั้นประเด็นที่เกิดจากโควิด-19 อันหนึ่งที่เราจำเป็นต้องยอมรับกัน จริงๆ แล้วเรื่องโควิด-19 มันเป็นประเด็นทางการพัฒนา ไม่ใช่ประเด็นด้านสาธารณสุขอย่างเดียว ทำให้เรากลับมานั่งคิดเลยว่าเป็นปัญหาที่เราคิดว่ามันถูกซุกไว้ใต้พรม ปัญหาหรือความไม่รู้ต่างๆ ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมันโผล่ขึ้นมาตอนนี้พร้อมกัน
แล้วมันทำให้เรารู้สึกเลยว่าจริงๆ แล้วคนเหล่านี้หรือปัญหาต่างๆ ประเด็นต่างๆ ที่เราไม่รู้มันถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกัน แล้วมันทำให้เราเกิดความตระหนักรู้เลยว่าจริงๆ มันถึงเวลาที่จะต้องมาทำความเข้าใจกับแรงงานกลุ่มนี้จริงๆ อันนี้พูดถึงจากกลุ่มแรงงาน จะไม่ได้พูดถึงเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะจริงๆ แล้วการทำงานของแรงงานในกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ด้วยตัวของเขาเอง เช่น ห้างปิด ร้านปิด คนซื้อก็น้อยลงมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็เหมือนกัน ไม่มีคนเดินทาง ฉะนั้นผู้โดยสารก็น้อยลง”
ประเด็นพวกนี้ถ้ายกเรื่องเศรษฐกิจออกไปก่อน ดูกลุ่มแรงงานก่อน เพราะนโยบายเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องของด้านที่ค่อนข้างใหญ่ พูดจากมุมมองของแรงงานก่อน มันมาพร้อมๆ กันเลย มันทำให้เราเกิดความรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรตั้งมากมายที่ต้องทำที่เกี่ยวข้องกับแรงงานนอกระบบ มาตรการตอนนี้เป็นมาตรการจัดการปัญหาเฉพาะหน้า เราไม่เห็นมาตรการระยะกลางและระยะยาว ที่จะเข้ามาจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่ความรุนแรงของโควิด-19 ผ่านไปแล้ว
เราต้องใช้เวลาอย่างมากที่จะปรับตัว เรานี่ไม่ใช่หมายถึงเฉพาะแรงงานนอกระบบ แต่หมายถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวเราเอง ต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในขณะนี้ทุกๆ คนแยกกันหมด ขอเดาเอาว่าหลังจากที่ยุคเปิดเมืองแล้วไม่ว่าจะเปิดเต็มหรือเปิดๆ ปิดๆ ก็ตามจะมีคนเข้าสู่การเป็นแรงงานนอกระบบมากขึ้น คือจะมีคนจำนวนหนึ่งไหลออกมาเข้าสู่การทำงานนอกระบบ ตรงนี้เราเตรียมรับกันอย่างไร
แล้วก็เชื่อได้เลยว่ากลุ่มคนที่ไหลออกจากในระบบมาสู่นอกระบบ จำนวนหนึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และหากจะต้องรองรับแรงงานอีกระลอกที่จะเข้ามา ตลาดงานหรือกลุ่มงานนอกระบบจะจัดการกับตรงนี้อย่างไร ฉะนั้นนโยบายการจ้างงาน กระทรวงแรงงานคิดอย่างไรกับการเผชิญภาวะของกลุ่มคนมหาศาลที่จะเข้าสู่การทำงานนอกระบบ อันนี้ก็ยังคิดไม่ออก
“อีกประเด็นที่อยากจะพูดคือจริงๆ แล้วประเด็นที่เผชิญอยู่ในขณะนี้เรามักจะตั้งคำถามว่าจะปิดหรือเปิดเมืองดี ถ้าดูจากความเห็นของผู้คนในสื่อออนไลน์ (Social
Media) จะพบว่าในขณะที่รัฐบาลแถลงความสำเร็จในเรื่องของการจัดการกับจำนวนคนติดเชื้อ ในขณะที่ฝ่ายสาธารณสุขรู้สึกว่าเราอย่าการ์ดตก อย่าทำให้ตรงนี้เพิ่มขึ้น เราเข้าใจฝั่งสาธารณสุข แต่ฝั่งสังคม ฝั่งเศรษฐกิจสามารถหรือไม่ที่จะมีอะไรบางอย่างที่จะขึ้นมาแล้วบอกว่าภายใต้ภาวะการ์ดไม่ตกเราจะสามารถจัดการในเรื่องของการทำให้ชาวบ้านพอที่จะลืมตาอ้าปากได้ไหม ในภาวะที่จัดการปัญหาเฉพาะหน้า
ฉะนั้น ณ ขณะนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเห็นภาพของการพูดถึงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องของชาวบ้านที่เผชิญกับภาวะตรงนี้ ที่ไม่ใช่เรื่องของการแจกเงินหรือการเยียวยาเฉพาะหน้ารัฐบาลมองไปข้างหน้าว่าภาวะของการค่อยๆ คลี่คลายนี้เอง ถึงเวลาที่มันคลี่คลายมันจะไม่คลี่คลายแบบโครมเดียวมันจะค่อยๆ ออก แต่ตรงนี้ต้องการการซักซ้อมและเตรียมการพอสมควร”
ในขณะเดียวกันเราก็พบว่ามาตรการของรัฐบาลในการเยียวยากลุ่มแรงงาน ถ้าเป็นกลุ่มแรงงานในระบบ กลุ่ม SME (กิจการขนาดกลาง-ขนาดย่อม) จะเห็นภาพว่ามันไปออกที่ภาคธุรกิจ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ทำอย่างไรจะทำให้การช่วยเหลือคน2 กลุ่มนี้มันไม่เกิดภาวะของความขัดแย้งมากจนเกินไป เช่น ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งอาหารจากแอพพลิเคชั่นกับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือธุรกิจเล็กๆ ขายอาหารกับร้านขายอาหาร มันมีอะไรบางอย่างที่ต้องจัดให้ชัดเจนหรือเปล่า ว่าที่ทางแต่ละกลุ่มมันเป็นอย่างไรเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์ที่ไม่แตกต่างกันมากนักจากรัฐ
และคิดว่าในวิกฤติมีโอกาส เป็นเวลาที่ต้องเริ่มคิดถึงเหมือนกัน ภาวะอย่างนี้มันเป็นภาวะการมองการเปลี่ยนผ่าน (Transform) ย้อนกลับไปที่ประเด็นแรกเรื่องความเหลื่อมล้ำพูดง่ายๆ เรื่องแผงลอย ปัญหาที่มันเกิดขึ้นเหตุคือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหามีทั้งกลุ่มแผงลอย กลุ่มนโยบายภาครัฐ และกลุ่มผู้ซื้อ เอาเข้าจริงๆ ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่จัดการไม่ได้ เพียงแต่ขอให้จัดการจริงๆ เท่านั้นเอง มันเป็นปัญหาของการจัดการมากกว่าเรื่องอื่นๆ แต่ไฉนจึงไม่พยายามที่จะมอง ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เราจะสามารถทำอะไรเพื่อผู้ค้า
จัดพื้นที่เป็นโซนปลอดภัย แล้วดึงเอาในแต่ละพื้นที่แต่ละเขต มาดูสิว่าคนเหล่านี้จะสามารถเข้ามาร่วมทำงานกันได้ไหม เพื่อให้เกิดภาวะของการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข อันนี้ก็ย้อนกลับไปเรื่องการรวมกลุ่ม เรื่องของการพึ่งตนเอง อันนี้สิ่งที่ต้องการคือการจัดการ เหมือนกับเรื่องของการกู้เงินจากธนาคารประชาชน มันต้องการการจัดการเหมือนกัน เพราะต้องยอมรับว่าธนาคารออมสินที่เป็นธนาคารของภาครัฐมันเป็นเรื่องของความเสี่ยงเหมือนกัน แต่มันก็ต้องการการจัดการความเสี่ยงอันหนึ่งซึ่งมันต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี