‘พลัง อสม.’...แม้เสี่ยงแต่สู้ ด่านหน้าคัดกรองเข้ม สร้างชุมชนไร้‘โควิด-19’
“พวกเรา อสม. ไม่เคยย่นย่อ งานต่อต้านโรคภัย อสม. ขอทุ่ม จิตเทใจ ช่วยเหลือคนไทย ทั่วเมืองไทยให้รุ่งเรือง”…
เนื้อเพลงท่อนแรกของเพลง “มาร์ช อสม.” เป็นการสร้างความฮึกเหิมให้กับผู้คนที่ทำหน้าที่นี้ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงที่ประสบปัญหากับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “โควิด-19” เพลงนี้น่าจะ “ปลุกใจ” ให้บรรดาเหล่าอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ได้มีกำลังใจในการทำงานได้มากขึ้น เพราะ อสม.เหล่านี้ เป็นปราการด่านหน้าที่จะต้องเสี่ยง พบกับผู้คนกลุ่มเสี่ยงมากมายที่เดินทางกลับเข้ามาในชุมชนของตนเอง
แม้ในช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ “ลำปาง” จะคลี่คลายลง เนื่องจากผู้ติดเชื้อทั้ง 4 ราย จาก อ.งาว หายเป็นปกติและกลับบ้านได้ทั้งหมดแล้ว โดยรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ส่วนผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคสะสมแล้วจำนวน 182 ราย ส่วนผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่กลุ่มเสี่ยง ยอดสะสมอยู่ที่ 22,353 ราย กักตัวเองที่บ้าน 2,700 ราย พ้นระยะกักตัวแล้ว 19,653 ราย
จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้คนจากต่างถิ่น กลับเข้ามาใน จ.ลำปาง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 ที่ “เมืองกรุง” เริ่มมีคำสั่งปิดกิจการต่างๆเป็นการชั่วคราว เพราะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มแรงงานบางส่วนที่ไม่มีงานทำ จึงต้องเดินทางกลับมาภูมิลำเนา ทำให้จำนวนตัวเลขคนเดินทางเข้ามาใน จ.ลำปาง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมา อสม.ต้องเป็นบุคคลเสี่ยงที่ต้องเข้าคัดกรองคนกว่า 40,000 ราย ที่เดินทางกลับเข้าสู่ จ.ลำปาง และขณะนี้ อสม.ยังคงต้องทำหน้าที่อย่างหนัก เมื่อมีการ “คลายล็อก” ในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดการเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
“นางอำพรรณ อมรไตรศรี” ประธาน อสม.ชุมชนรถไฟนครลำปาง เปิดเผยว่า ในชุมชนของตน อสม. 1 คน จะต้องรับผิดชอบบ้านเรือน 25-30 หลังคาเรือน โดยต้องสอดส่องดูแลในโซนที่ตัวเองรับผิดชอบว่าบ้านหลังนี้อยู่กันกี่คน ใครประกอบอาชีพอะไร มีผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ รวมทั้งมีการตรวจสอบโดยการ “เคาะประตูบ้าน” แต่ละหลัง อสม.ต้องป้องกันตัวเองโดยการเว้นระยะห่าง 2 เมตร สวมหน้ากากอนามัย เมื่อเสร็จภารกิจก็จะรีบล้างมือด้วยน้ำสบู่ และ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
นอกจากนั้นจะมีการติดตามเจ้าบ้านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ แนะนำให้ปฏิบัติตามระเบียบมาตรการจังหวัดลำปาง อสม.ก็จะคอยสอดส่องและกำชับให้เขาปฏิบัติมีการบอกให้คนในบ้านดูแลกัน คนที่ต้องกักตัว 14 วันก็จะต้องปฏิบัติ โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากกองสาธารณสุข เทศบาลนครลำปาง ร่วมกับ อสสม. สับเปลี่ยนเข้าไปเยี่ยมบ้าน ส่วนใหญ่ชาวบ้านให้ความร่วมมืออย่างดี ซึ่งทุกขั้นตอนจะมีการรายงานไปยังเจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมโรคติดต่อและไม่ติดต่อ กองสาธารณสุข เทศบาลนครลำปาง และเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ร่วมกับ อสม.ด้วย
“นายทศพล บุญสิริจินดา” ประธาน อสม.ชุมชนบ้านทับหมาก ในเขตเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว กล่าวเช่นเดียวกันว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ อสม.ทำงานอย่างเข้มแข็ง โดยที่ชุมชนของตนนั้นจะแบ่งโซนกันรับผิดชอบ 1 คน ดูแล 15-17 หลังคาเรือน ในช่วงแรกที่เกิดการแพร่ระบาดหนัก และพบว่าที่ จ.ลำปาง มีผู้ติดเชื้อนั้น อสม.ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยการสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างมิดชิดในการออกสำรวจและคัดกรองคนกลับมาจากต่างจังหวัดและต่างประเทศ แต่โชคดีที่ชุมชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีการแจ้งประสานงานให้ทราบเมื่อมีคนกลับจากพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งให้ความร่วมมือในการกักตัว 14 วัน
“แม้ช่วงนี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ทาง อสม. ยังไม่ลดละความตั้งใจในการทำงาน มีการช่วยกันเย็บหน้ากากอนามัย เวลามีงานศพในหมู่บ้าน ต้องตั้งจุดคัดกรอง จดบันทึกผู้เข้าร่วมงานทุกวัน ในการทำงานนั้นอาจจะมีบ้างที่ย่อท้อ เพราะถูกชาวบ้านบางส่วนพูดจาไม่ดี เราทำได้เพียงแต่ยิ้มไว้ และให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ให้ความร่วมมือและให้กำลังใจกับพวกเรา อีกทั้งในช่วงนี้ยังต้องเฝ้าระวังเรื่องโรคติดต่ออีกหลายโรค เช่น โรคไข้เลือดออก ที่จะมากับฤดูฝน และการตรวจสุขภาพชาวบ้านและผู้สูงอายุ เชื่อว่าผู้ที่มาทำหน้าที่ อสม.นี้ทำด้วยใจอย่างแท้จริง” นายทศพล กล่าว
ด้าน “นายแพทย์ประเสริฐ กิจสุวรรณรัตน์” สาธารณสุขจังหวัดลำปาง กล่าวว่า อสม.ของ จ.ลำปาง มีความเข้มแข็งมาก และทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณ อสม. ชรบ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันเฝ้าระวังผู้คนที่กลับมาจากกลับจากพื้นที่เสี่ยง ขอความร่วมมือกับประชาชนทุกคน ตอนนี้เราต้องเหนื่อยกันหมด ซึ่งช่วงฝนนี้เราอาจจะต้องเจอกับโรคไข้หวัด ไข้เลือดออก ไข้ซิการ์ ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเจอกับวิกฤตในช่วงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปอีกอย่างน้อย 10-12 เดือน จึงยังคงมีความเสี่ยงที่จะต้องเจอกับโควิด-19 ได้อีกในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เราต้องเฝ้าระวังอีก 1 ปี
ประกอบกับภาคเศรษฐกิจก็ต้องการขับเคลื่อน การเดินทางก็จะเริ่มขึ้น คนไทยจะเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด กลับภูมิลำเนา ส่วนชาวต่างชาติก็จะเดินทางเข้ามาทำธุรกิจ และท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงต้องเตรียมการรับมือไว้ในระดับที่สถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” ก่อน จึงต้องทุ่มทรัพยากรที่มีทั้งหมด ให้กับโรงพยาบาลเกาะคา และโรงพยาบาลสนาม เพื่อเตรียมการจะสู้กับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
“เราจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อผลการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำเร็จ จึงขอให้ทุกคนสู้ร่วมกัน” นายแพทย์ประเสริฐ กล่าว
บรรดา อสม.ซึ่งเปรียบเสมือน “ปราการด่านหน้า” ที่จะต้องพบกับความเสี่ยงอย่างมาก ยังคงปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่ค่าตอบแทนยังคงเท่าเดิม หลายคนยังคงเฝ้ารอความหวังด้านการช่วยเหลือค่าตอบแทน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี