23 พ.ค. 2563 รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ “รัฐประหารไวรัส” ว่าด้วยการตัดสินใจต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ออกไปอีก 1 เดือน เพื่อรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถบริหารประเทศด้วยกลไกปกติได้ โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่คุมกระทรวงต่างๆ จึงต้องใช้กลไกพิเศษไม่ต่างกับการทำรัฐประหาร ดังนี้..
ศบค. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ สมช. ในการขยายการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือนภายใต้เหตุผลว่าจะช่วยให้การรับมือการระบาดที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการระยะ 3 และ 4 เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ รวมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศขณะที่สถานการณ์การระบาดในโลกยังไม่สิ้นสุด
แต่ปัญหาก็คือ พรก.ฉุกเฉิน เป็นกฎหมายที่มีไว้สำหรับแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ใช่ที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะการบังคับใช้กฎหมายประเภทนี้มี “ต้นทุน” สูง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลและการพร้อมรับผลในการใช้อำนาจ หรือในเรื่องของสิทธิเสรีภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การอ้างเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับการต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน ของ ศบค./สมช. จึงผิดหลักการของการใช้ พรก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ต้น และจะก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในระดับที่ไม่คุ้ม “ราคา” ที่ต้องจ่าย อีกทั้งยังไม่สามารถเรียกเก็บได้จากคนที่ก่อให้เกิดผลกระทบ
ขณะเดียวกันการคาดคะเนของ สมช./ศบค. มีความเป็นไปได้ต่ำ เพราะสถิติที่ผ่านมาโดยเฉพาะการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 1 ไม่ได้ส่งผลให้การระบาดรุนแรงขึ้น เรามีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันเป็นหลักหน่วยต่อเนื่องมากว่า 20 วัน เป็นเลข 0 มาแล้ว 3 วัน และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมาแล้วหลายวัน อีกทั้งการติดเชื้อส่วนใหญ่ก็อยู่ในเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมเฉพาะ ไม่ใช่การใช้ชีวิตปกติทั่วไป นอกจากนี้ การคาดคะเนของ สมช./ศบค. ยังเป็นไปอย่างกว้างและหลวม ไม่ได้ชี้ให้เห็นอย่างจำเพาะเจาะจงว่าการผ่อนคลายในกิจกรรมใดที่ไม่ว่าจะใช้มาตรการป้องกันไหนก็จะเป็นเหตุให้เกิดการระบาดระลอกใหม่จนกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ แม้การผ่อนคลายมาตรการอาจก่อให้เกิดการระบาดเพิ่มขึ้น แต่ในเบื้องต้นก็สามารถอาศัยกฎหมายปกติอย่าง พรบ.โรคติดต่อ ในการแก้ปัญหาได้ และที่ผ่านมาแม้มีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน แต่การแก้ปัญหาในระดับจังหวัดส่วนใหญ่ก็อาศัยกลไกและอำนาจภายใต้ พรบ.โรคติดต่อ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ 50 จังหวัดไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากว่า 1 เดือน และการติดเชื้อเพิ่มส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมเฉพาะ ก็ควรใช้กลไกและมาตรการที่ตอบสนองต่อความจำเพาะของแต่ละพื้นที่และผู้คนภายใต้ พรบ.โรคติดต่อ มากกว่าจะใช้กลไกและมาตรการที่รวมศูนย์และไม่จำแนกแยกแยะภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน
ประการสำคัญ การอ้างว่าปัญหาการระบาดเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 40 ฉบับ หากไม่ใช้ พรก.ฉุกเฉิน รวบให้มาอยู่ภายใต้อำนาจนายกรัฐมนตรีก็จะไม่สามารถแก้ได้ นอกจากจะเป็นการอ้างปัญหาระบบราชการไทยอย่างมักง่าย ยังสะท้อนให้เห็นถึงการไม่สามารถประสานความร่วมมือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสุข พาณิชย์ มหาดไทย หรือต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการชี้ให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถธำรงความเป็นผู้นำเหนือพรรคร่วมรัฐบาลในฐานะนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาการระบาดได้ จึงต้องอาศัย พรก.ฉุกเฉิน ก่อ "รัฐประหาร" แล้วตั้ง ศบค. ที่ตนเองเป็นผู้อำนวยการและมีฝ่ายความมั่นคง เช่น สมช. เป็นกลไกหลัก แทนรัฐบาลที่ถูกริบอำนาจและบทบาทหน้าที่ไปอย่างสิ้นเชิง
ไวรัสเป็นโรคที่มาแล้วก็จากไป แต่ได้สร้างเงื่อนไขให้สังคมและการเมืองไทยต้องจมปลักอยู่กับรัฐประหารต่อไปไม่สิ้นสุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ต่อ'พรก.ฉุกเฉิน'ข้ามปีจนมี'วัคซีน'สยบโควิด กฎหมายชี้ช่องไว้...คนไทยรับได้หรือเปล่า?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี