เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 เรียกว่า “ไม่เกินความคาดหมาย” หลังจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีมติต่ออายุพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ไปอีก 1 เดือน ให้ครอบคลุมถึง 30 มิ.ย.2563 แม้จะถูกหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเหมาะสมก็ตาม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงมากตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงถูกมองว่าอาจจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “การเมือง” หรือเปล่า
เนื่องจาก “สถานการณ์มันยุ่งเหยิงเหลือเกิน” ไหนจะฝั่งตรงข้ามอย่าง “ทีมไล่ลุง” ที่มีทั้งแนวรบในสภาอย่างพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย 2 พรรคแกนหลัก “เพื่อไทย-ก้าวไกล” และนอกสภาอย่าง “คณะก้าวหน้า” ของอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบ รวมถึงเครือข่ายนักศึกษาที่ก่อการชุมนุม “แฟลชม็อบ” ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ มาก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะระบาด
แถมเมื่อมองมาที่ฝั่งเดียวกัน “ทีมลุง” ที่ผ่านมาบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลถูกมองว่า “สั่งไม่ได้” แต่ละพรรคมุ่งจะทำงานเฉพาะในส่วนกระทรวงของตนรวมถึงตามนโยบายที่พรรคหาเสียงเลือกตั้งไว้ ขณะที่พรรคต้นสังกัดของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่าง “พลังประชารัฐ” ยังมีข่าวความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มก๊วนต่างๆ ดังนั้นจึงมีการวิเคราะห์ว่า การประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานร่วมกับข้าราชการประจำ อันหมายถึงปลัดกระทรวงทุกกระทรวงได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านรัฐมนตรีจากฝ่ายการเมือง เรียกว่า “คล่องตัว” กว่าเยอะ
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 5 (วรรคสอง) ระบุว่า “การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีกำหนด แต่ต้องไม่เกินสามเดือนนับแต่วันประกาศ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลา ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกเป็นคราวๆ คราวละไม่เกินสามเดือน” ดังนั้นจึงหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้ด้วยตนเองเป็นเวลา 3 เดือน
แต่หากจะต่อไปนานกว่านั้น ต้องอาศัยมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยาวนานหลายปีมาแล้ว ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) โดยใช้มานับตั้งแต่มีกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้น มาจนถึงปัจจุบันแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลไปกี่ชุดก็ตาม เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวยังมีเหตุรุนแรงจากกลุ่มก่อความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และหากดูจากคำชี้แจงของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ถึงความจำเป็นในการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2563 ที่ให้เหตุผลว่า 1.ยังคงมีความจำเป็นและต้องมีการบังคับใช้ พ.ร.ก.โดยการป้องกันการแพร่ระบาดในราชอาณาจักรของโรคโควิด-19 จะต้องสามารถดำเนินการต่อไปให้ได้อย่างมีเอกภาพ รวดเร็ว มีความต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานกลาง ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
เนื่องจากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นั้น มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกว่า 40 ฉบับ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับเดียวไม่สามารถจัดการได้อย่างเพียงพอเพราะมีทั้งเรื่องการรักษา การเรื่องติดเชื้อ โรงพยาบาล การเดินทางข้ามพื้นที่ การเดินทางเข้า-ออกต่างประเทศ การใช้พาหนะ อากาศยาน การตรวจคนเข้าเมืองอื่นๆ อีกจิปาถะ ดังนั้น การบริการจัดการจึงต้องเป็นเอกภาพภายใต้การบังคับใช้ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
2.การเตรียมการรองรับในระยะต่อไป ประเทศไทยอยู่ระหว่างการกำหนดมาตรการการผ่อนคลายในระบะที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการตามกฎหมาย เพื่อกำกับการบริหารจัดการเพื่อบริหารจัดการมาตรการผ่อนคลายอย่างให้เป็นระบบในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมากเพราะว่าประเทศไทยอยู่ในระหว่างการกำหนดมาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2 ระยะที่ 3 และระยะที่ 4 ดังนั้น ถ้าเทียบระหว่างระยะที่ 3 - 4 กับระยะที่ 1 - 2 นั้น ถือว่าระยะที่ 3 - 4 มีความเสี่ยงสูงกว่า
ซึ่งแม้ตอนนี้ยังพอใจกับตัวเลขติดเชื้อเป็น 0 หรือ 1 - 2 ราย แต่เมื่อไหร่ที่กลับไปเป็นระยะที่ 3 - 4 กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงจะปรากฏอยู่ตรงนี้ หลายคนจึงกังวลใจ ระยะที่มีความเสี่ยงต่ำ แม้หย่อนมาตรการก็ยังพอเอาอยู่ แต่เมื่อระยะที่มีความเสี่ยงสูงเปิดไฟเขียวหมด แต่มีการหย่อนมาตรการ พฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆ ก็จะกลับมา ดังนั้นต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาบริการจัดการให้เกิดความสมดุลเพื่อจัดการให้เป็นไปตามมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 3 - 4
และ 3.สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคยังคงไม่สิ้นสุด โดยมีข้อมูลว่าหลายประเทศยังคงมีการระบาดและมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง และเมื่อประเทศไทยได้จัดทำมาตรการผ่อนคลายครบทั้ง 4 ระยะแล้ว จำเป็นจะต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดประเทศ อาทิ มาตรการด้านกฎหมายแผนปฏิบัติการในการบริหารวิกฤติเพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่อาจมีการกลับมาแพร่ระบาดของโรค
“วันนี้เราอยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งจะหมดประมาณสิ้นเดือนนี้ ถ้าเราบอกว่ายกเลิกเถอะพอแล้ว เราอยากจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ถึงตอนนั้น ถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เราจะเข้าสู่ระยะที่ 4 อย่างมั่นใจได้อย่างไร ถึงแม้เราจะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นที่สุด เพียงแต่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เรามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกๆ ท่านก็เข้าใจเหมือนกันว่า เราทำไปเพื่อทุกๆท่าน และทุกๆท่านก็ทำเพื่อคนที่ท่านรัก แล้วที่สุดแล้วเราก็ทำเพื่อประเทศไทยประสบความสำเร็จจนมาถึงตอนนี้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
หากมองไปยังข่าวคราวเรื่อง “วัคซีน” ความหวังเดียวที่จะสยบไวรัสโควิด-19 ไม่ให้คร่าชีวิตมนุษย์ได้อีก คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างเร็วราว 12-18 เดือน กว่าจะมีให้ใช้กัน และเชื่อได้ว่าประเทศใดผลิตได้ย่อมต้องให้พลเมืองของตนเองได้ใช้ก่อน การต้องสั่งซื้อยิ่งต้องรอกันยาวนานออกไปอีก ดังนั้นการที่ “ครม.ลุงตู่” จะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีวัคซีน ด้วยเห็นว่า “เมื่อสงครามยังไม่จบก็ต้องพร้อมรบในระดับสูงสุด” หรือเพื่อป้องกันการระบาดรอบใหม่ไม่ว่าระลอกที่เท่าไรก็ตาม ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจไว้
แต่ก็ต้องถามประชาชนชาวไทย “รับได้หรือเปล่า” หากจะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยาวนานเป็นปีขนาดนั้น!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- เคลียร์มั้ย! 'ศบค.'อธิบาย 3 ข้อทำไมต้อง'ขึงอำนาจ' ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก1เดือน
- เพจดังชี้‘บิ๊กตู่’ส่อลาก‘พรก.ฉุกเฉิน’ยาว เหตุทำงานง่ายไม่ต้องสนการเมืองวุ่นทั้งใน-นอกพรรค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี