วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 เฟซบุ๊คแฟนเพจ “Gossipสาสุข” เพจข่าวที่เน้นเสนอเนื้อหาแวดวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย เผยแพร่บทความ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีแวว “อยู่ยาว” แม้ผู้ติดเชื้อเพิ่มน้อยนิด” ว่าด้วยแม้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงมาก แต่ก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ง่ายๆ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปัจจัยด้านสาธารณสุข แต่เป็นเพราะเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ถนัดในการทำงานทางการเมือง ซึ่งกำลังมีเรื่องวุ่นๆ ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ดังนี้..
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการจัดการกับโควิด - 19 บ้านเราคือ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวบอำนาจการจัดการทุกอย่าง ทั้งเรื่องสาธารณสุข ความมั่นคง การควบคุมอุปกรณ์จำเป็น การประกาศเคอร์ฟิว มาไว้ภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ยาวนานเกือบ 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. มาจนถึงตอนนี้
หากจำกันได้ ช่วงเวลาของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวที่ระบาดโรคนี้ของบ้านเรา อยู่ที่เกิน 100 คนต่อวัน ท่ามกลางการประเมินจากบรรดา “อาจารย์หมอ” ว่า หากไม่ใช้ “ยาแรง” จะมีผู้ติดเชื้อเกิน 3 แสนคน นำมาสู่มาตรการล็อคดาวน์ ปิดร้านอาหาร ปิดห้างสรรพสินค้า ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด และหลายจังหวัด ปิดพื้นที่ ตั้งจุดตรวจไม่ให้คนเข้า - ออก จนกว่าจะจัดการโรคนี้อยู่หมัด
นอกจากยาแรง จะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้แล้ว สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ผลลัพธ์อีกด้านก็คือ ได้ทำให้เศรษฐกิจพังพาบไปโดยปริยาย คนหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือน เจ้าของกิจการ ร้านอาหาร – โรงแรม ไปจนถึงเจ้าสัว ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าจากรายได้ที่กลายเป็น 0 ทันที ในช่วงของ พ.ร.ก. แต่ก็ยอมอดทนกลืนเลือด มากกว่าจะปล่อยให้มีการระบาดจนคุมไม่อยู่
ถึงวันนี้ เริ่มมีการผ่อนปรน 2 ระยะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สวนสาธารณะ คลินิก เปิดได้ (ภายใต้ข้อจำกัดร้อยแปด) เหตุเพราะจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันที่เหลือ 0 คน 1 คน 5 คน ติดต่อกันหลายสัปดาห์ การระบาดในชุมชนเป็นวงกว้างไม่มีอีกแล้ว คลัสเตอร์ใหม่ก็ไม่มี ชายแดนยังคงปิดเข้ม คนที่เข้าออกประเทศต้อง “กักตัว” ในสถานที่ที่รัฐจัดให้ โรงพยาบาลมีกำลังที่จะรักษาคนไข้ที่ยังป่วยอยู่ ทุกอย่าง “ดูดี” เกือบทั้งหมด
คำถามสำคัญก็คือยังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิวค้างไว้ด้วยเหตุผลอะไร แล้วทำไม ยังต้องใช้มาตรการนี้คุมเข้ม ทั้งที่ไทยเองมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ให้อำนาจรัฐบาลจัดการโรคติดต่ออยู่แล้ว
คำตอบที่เป็นทางการ อาจเป็นไปเพื่อการป้องกัน Second Wave หรือการระบาดระลอก 2 ที่อาจเกิดขึ้นได้จากประชาชน แห่ออกไปทำงาน คนแน่นขนัดระบบขนส่งมวลชน และออกมาสังสรรค์กันเต็มที่ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ไร้กฎหมายพิเศษเข้าไปควบคุม ในที่สุดก็อาจเกิดการระบาดระลอก 2 เหมือนอย่างในเกาหลี เมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่ ณ ช่วงเวลานี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น การจัดการภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือ ศบค.นั้น หลายอย่าง สามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้ “อำนาจพิเศษ” การขอให้คนไม่รวมตัวกันเกิน 5 คน 10 คน หรือการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ในร้านอาหาร ในสถานประกอบการต่างๆ หรือแม้กระทั่งการ “สั่งปิด” สถานที่เสี่ยง สั่งไม่ให้ไฟลท์บินเข้า – ออกประเทศ สั่งปิดทางเข้าออกจังหวัด หรือสั่งปิดสถานที่ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ล้วนแล้วแต่ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อได้
แล้วทำไมยังต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน? คำตอบก็คือภายใต้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ นายกฯ มีอำนาจสูงสุดเหนือคณะรัฐมนตรี เหนือพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคุมกระทรวงสาธารณสุข จึงทำให้ “แอ็คชั่น” ได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจเจ้ากระทรวง และในช่วงที่เริ่มมีรอยแยกในรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐเอง การมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนายกฯ มีอำนาจสูงสุด ย่อมทำให้รัฐมนตรี เกรงใจนายกฯ มากกว่าช่วงเวลาปกติ
นอกจากนี้ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ยังไม่ต้อง “รับผิดชอบ” ใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อควบคุมโรคโควิด – 19 ซึ่งทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจหลายอย่างในช่วงเวลานี้ทำไม่ได้ ขณะเดียวกัน อีกอำนาจที่อาจจะ “มีค่า” มากๆ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็คือการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งขณะนี้ เลื่อนไปไว้ที่ 5 ทุ่ม – ตี 5 ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่าการยังคงเคอร์ฟิวไว้อยู่ในช่วงที่มีคนติดเชื้ออย่างมากที่สุด 1 คน 2 คน นั้น ยังมีความจำเป็นมากขนาดไหน
เอาเข้าจริง ในต่างประเทศที่มีการระบาดหนัก หลายประเทศ ยังไม่มีการใช้อำนาจที่ “กึ่งเผด็จการ” มากขนาดนี้ เห็นจะมีก็แต่ อิตาลี สเปน บางรัฐของสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อ – ผู้เสียชีวิตมากจริง ใช้อำนาจเพื่อจัดการให้ได้เด็ดขาดที่สุด กับอีกกลุ่มคือหลายประเทศกำลังพัฒนาในแถบแอฟริกา ที่ประกาศใช้กฎหมายในลักษณะเดียวกัน โดยแฝงอำนาจทางการเมือง เพื่อ “กำราบ” ฝ่ายตรงข้าม
และจนถึงวันนี้ ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะติดเชื้อ 100 คน หรือ 40-50 คน ก็คลายล็อกการบังคับใช้กฎหมายแบบนี้ เดินหน้าเข้าสู่ระยะ “ผ่อนปรน” แล้ว ไม่ได้หลงเหลือความจำเป็นในการจำกัดสิทธิ์ผู้คนด้วยกฎหมายแบบนี้อีกต่อไป เพราะในแง่จิตวิทยา การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ก็หมายความว่าสถานการณ์ยัง “อันตราย” ไม่เป็นผลดีเท่าไรนักกับเศรษฐกิจ และไม่เป็นผลดีอะไรกับนักลงทุน ที่เห็นว่ายังมีกฎหมายนี้ค้ำคออยู่
ดูจากท่าทีล่าสุด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน น่าจะยังไม่ไปไหน คำสั่งผ่อนปรนเปิดสถานที่เพิ่มเติม ของศูนย์โควิด – 19 ล่าสุด ยังคงอ้างอิง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเต็มที่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยังอยู่กับเรา จนถึงวันที่มีการผ่อนปรนระยะต่อไป รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองาม บอกว่าจำเป็นต้องใช้ เพื่อไม่ให้อำนาจของ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค แต่ละจังหวัด “ลักลั่น” กัน เลยต้อง มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำกับอีกขั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐบาลรู้สึกว่า “อุ่นใจ” สามารถกระชับอำนาจได้เต็มที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงน่าจะอยู่กับเราต่อไป ไม่หายไปไหนง่ายๆ ทั้งที่มีกฎหมายอื่นอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลเรื่อง “การเมือง” ล้วนๆ ไม่ใช่เรื่อง“การแพทย์” อีกต่อไป
ดีไม่ดี อาจมีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ยาวไปตลอดเดือน มิ.ย.ด้วยซ้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี