หากท่านไม่ได้ติดตามเรื่องมาก่อน ก็จะขอสรุปเกริ่นสั้นๆ ว่า เราจะต้องเตรียมตัวยืนอยู่ได้บนขาของตนเอง (Thailand self dependence) หลังสงครามกับ COVID-19 เบาบางลง หรือเสร็จสิ้นลง
โลกาภิวัตน์ (globalization) จะอ่อนแอลง การพึ่งตนเองของแต่ละประเทศจะมีมากขึ้น
แม้แต่ในโลกส่วนตัวของบุคคลธรรมดา ถึงแม้เราจะมีอาชีพหลักอยู่แล้ว ก็จำต้องมีอาชีพสำรองเตรียมไว้ หรือทำควบคู่กันไป ใครจะรู้ว่าวันนี้เราขับแท็กซี่ เราเป็นไกด์ เราขายสตรีทฟู้ด เราเป็นหมอนวด เราเป็นพนักงานโรงแรมเราทำงานสายการบิน หรือทำงานที่สนามบิน แสนจะมั่นคงแล้ว จู่ๆ ไม่มีงานให้ทำ ไม่มีรายได้ที่เคยได้รับทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน
ทุกอาชีพข้างต้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวอีสานบ้าง ชาวเหนือบ้าง ชาวใต้บ้าง ที่ย้ายกันเข้ามาหากินในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโคราช ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ ภูเก็ต รวมทั้งหากินในกรุงเทพฯเมืองหลวง ส่วนใหญ่เคยมีเรือกสวน ไร่ นา กันในบ้านเกิดเมืองนอนของตน ตอนนี้เมื่อเราเข้ามาหากินในเมืองใหญ่ หรือในกรุงเทพมหานครเราก็ควรจะต้องกันที่ดิน เรือกสวน ไร่ นา ไว้คนละ 5-10 ไร่ (หรืออย่างน้อย 2 ไร่ ก็ยังดี) เผื่อมีภัยพิบัติแบบ COVID-19 หรือสงครามโลก สงครามภูมิภาคเอเชีย ทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง อยู่ในเมืองใหญ่ไม่ได้ จะได้มีที่พัก หรืออาชีพสำรองไว้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน และยังเอาไว้พักอาศัย ใช้ชีวิตสูงวัยหลังเกษียณอายุจากงานในเมืองใหญ่ อย่างสบาย และมีความสุข และอย่างมีศักดิ์ศรี
เป็นประเทศก็เช่นเดียวกัน แสนจะรุ่งเรืองอยู่กับรายได้จากการท่องเที่ยว แสนจะรุ่งเรืองอยู่กับการผลิต และการส่งออก รวมสองอย่างก็ 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แล้วจู่ๆ GDP หายไป 40% คนงาน หยุดชะงักไปหลายล้านตำแหน่ง และคนว่างงานไม่มีรายได้อีกหลายสิบล้านคน จนรัฐบาลแต่ประเทศต้องควักเงินออกมาแจกจ่าย เพื่อให้พลเมือง หรือคนในชาติของตน มีเงินก้อนน้อยประทังชีวิต ในขณะไม่มีรายได้ บางประเทศก็จ่ายแก่ทุกคนที่เคยเสียภาษี บางประเทศก็จ่ายแก่ทุกกลุ่มทำงานที่ตกงานไม่มีรายได้ (เช่น ประเทศไทย)
ทุกประเทศ จึงต้องเตรียมพร้อมยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้ เมื่อภัยพิบัติจาก COVID-19 ทุเลาลง เพราะความไม่แน่นอนมีอยู่ตลอด เราไม่ทราบว่าภัยพิบัติอะไรจะติดตามมาอีก
เพื่อหาคะแนนให้ได้รับเลือกตั้งใหม่ ทรัมป์ อาจจะให้กองเรือของสหรัฐ ถล่มฐานของจีนบนหมู่เกาะสแปรตลีย์
ซึ่งอยู่ระหว่างเวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ เกิดสงครามระหว่างสหรัฐกับจีน ในบริเวณจำกัด (หรือไม่จำกัด) เมื่อใดก็เป็นได้
สำหรับประเทศไทยเอง ซึ่งเป็นประเทศขนาดค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับจีน อินเดีย สหรัฐ รัสเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ทั้งในด้านประชากร และในด้านเศรษฐกิจ การยืนอยู่อย่างเป็นอิสระในเวทีโลกจึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก
นอกจากประชาชนคนไทย จะต้องมีจิตสำนึกในความเป็นไทย มีความนิยมในผลิตภัณฑ์ สินค้า เครื่องอุปโภค-บริโภค ที่ผลิตในเมืองไทย ผู้มีฐานะปานกลาง และผู้ที่ร่ำรวยมั่งคั่ง จะต้องมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ยากจน หาเช้ากินค่ำ หาได้เท่าไรไม่พอเลี้ยงครอบครัวไม่เงยหน้าอ้าปากขึ้นมา ให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงไม่เปราะบาง
ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกนิยมไทย นิยมชาติ (ไม่ใช่ชาตินิยม) ช่วยสร้างชาติ สร้างคนในชาติ แต่ถ้าประชาชนคนไทยทำกันเอง ก็คงจะยากทีเดียว ถ้าหากขาดการชี้นำ และการนำจากภาครัฐ
รัฐจึงควรจะต้องมีบทบาท ในการกำหนดนโยบาย และเผยแพร่ให้คนไทยมีจิตสำนึกในความเป็นไทย ให้มีความนิยมอุดหนุนสินค้าในประเทศ ผู้บริหารประเทศ และบุคคลชั้นนำของประเทศ (นักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐนักธุรกิจ ปัญญาชน ฯลฯ) จะต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ในการใช้ชีวิตเรียบ ง่าย และประหยัด ไม่แสดงออกซึ่งความฟุ้งเฟ้อ ความฟุ่มเฟือย ภาครัฐควรจะงดใช้รถตำแหน่งหรูหรา มีขบวนตำรวจ ทหาร วิ่งนำ และตามทั้งข้างหน้าข้างหลัง นักธุรกิจก็ควรทำงานให้มีชีวิตเรียบง่าย อย่าสะสมความร่ำรวยไว้ให้ลูกหลานมากนัก จงเอาอย่างเศรษฐีเมืองนอก เขาจะบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัย ให้ศูนย์วิจัยพัฒนา ให้กาชาด และองค์กรกุศล เป็นจำนวนมากมาย เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนในชาติของเขา รวมทั้งมวลมนุษยชาติ ส่วนที่จะเหลือไปยังทายาทก็จะมีให้ไม่มากนัก
บทบาทของรัฐที่จะสามารถชี้นำ และกำกับดูแลเพื่ออนาคตของชาติ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ ให้คนไทย
ได้นิยมชาติ รักชาติ ก็ได้แก่การฟื้นฟู และเอาจริงเอาจังในการสอนประวัติศาสตร์ชาติไทย ให้แก่ นักเรียน นักศึกษา ในทุกระดับชั้น ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนไม่น้อยที่ไปจบการศึกษาระดับประถม และระดับมัธยมมาจากอเมริกาบ้างอังกฤษ และยุโรปบ้าง ท่านก็น่าจะรู้ดีว่านักเรียนต้องเรียนประวัติศาสตร์ชาติของตนอย่างไรบ้าง เด็กอเมริกันจึงจะต้องรู้ประวัติของ ลินคอล์น เจฟเฟอร์สัน แฟรงคลินดี รูสเวลท์ จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และโรแนลด์ เรแกน สงครามแยกประเทศออกจากสหราชอาณาจักรเมื่อปี ค.ศ. 1783 สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐทางภาคเหนือ และรัฐทางภาคใต้ เมื่อปี ค.ศ. 1861 ส่วนเด็กอังกฤษก็จะต้องรู้จักประวัติการรวมเป็นสหราชอาณาจักร (United Kingdom : อังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ สกอตแลนด์ และเวลส์) รวมทั้งรู้จักเครือจักรภพอังกฤษ (British Common Wealth) และวีรบุรุษต่างๆ ของเขา
ส่วนประเทศไทย เด็กอายุ 5 ขวบ ถึง 20 ขวบ หรือนักศึกษาอายุ 18-25 ปี ใครบ้างที่ยังจำได้ถึงท่านเหล่านี้ไหม
วีรชนเขาค้อ ในสงครามที่สู้รับกันในประเทศ ระหว่าง ปี 2511-2525
วีรชนภูพาน ในสงครามเดียวกัน
วีรชนบางระจัน ผู้ต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินไทย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้กอบกู้ชาติไทยให้ได้อิสรภาพ
สมเด็จพระเจ้าตากสิน ผู้กอบกู้ชาติไทยให้ได้อิสรภาพอีกพระองค์หนึ่ง
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ผู้ทำสงครามรักษาเอกราชไทยและรวมไทย
สงครามเก้าทัพ ซึ่งทำให้ไทยพ้นภัยจากข้าศึกมาจนทุกวันนี้
บทบาทของรัฐ มิใช่จะมีแต่ในเรื่องประวัติศาสตร์ รัฐจะต้องชี้นำ ให้คนไทย เป็นคนที่มีระเบียบวินัย ซื่อสัตย์สุจริต เลิกคิดคอร์รัปชั่น
รัฐจะต้องทำให้คนไทยตระหนักว่า ขณะนี้สารสนเทศ (Information Technology) ไปไกลแล้ว และ Digital Economy ก็กำลังพัฒนา การที่นักธุรกิจ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ จะกอบโกยผลประโยชน์ของชาติเข้ากระเป๋าตัวเอง ด้วยเงินทอนบ้าง ด้วยการอนุมัติที่เลี่ยงกฎหมายบ้าง ด้วยการข่มขู่ผู้ประกอบอาชีพบ้าง ด้วยการหลับตาต่อกิจกรรมที่ผิดกฎหมายบ้าง เป็นสิ่งที่ล้าหลังแล้ว ควรเลิกได้แล้ว ขอให้ดูอดีตข้าราชการผู้ใหญ่รับเงินทอนวัด ก็ติดคุกไปถึง 81 ปี ประธาน อบจ. ถึง 2 จังหวัด ก็กำลังโดนคดีของป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ อบต. อีกไม่น้อยก็อยู่ในสภาพเดียวกัน รวมทั้งบางแห่งจัดซื้อของราคา 30,000 บาท ในราคา 120,000 บาท เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ค้นราคาของใน Lazada ได้ ใครๆ ก็สั่งซื้อ online ได้ ท่านยังมีวิธีสอบราคาฮั้วราคากันอยู่อีกหรือ ท่านควรจะตระหนักในคำว่า New Normal ให้เหมาะสมกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี และสภาพการของ COVID-19 ที่เราจะต้องปรับปรุงตนเองให้มาสู่วิถีชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีระเบียบ มีวินัย รักไทย นิยมไทย สำนึกไทย กันเถิด เพื่อให้บ้านเมืองของเราอยู่รอดตลอดไป
นอกจากนั้น ในการใช้ชีวิตใหม่ (New Normal) ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และของนักธุรกิจ ก็ควรจะตระหนักว่า ในยุคนี้ การเผยแพร่ข่าวสารเป็นไปเร็วมาก อย่าให้ท่านลืมตัวว่าอยู่ในการใช้ชีวิตแบบเก่า (Old Normal) ทำอะไรไม่มีใครรู้
ธนาคารต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก็มีเครือข่ายสัมพันธ์กันอย่างหนาแน่น ที่จะจำกัดการฟอกเงิน และเครือข่ายการปราบคอร์รัปชั่นก็เข้มข้นขึ้นเช่นกัน ทั้งระดับโลก ระดับในประเทศ ระดับกระทรวง และองค์กรต่างๆ ล้วนแต่มีระบบการตรวจสอบภายในกันทั้งนั้น
แต่หน่วยตรวจสอบภายในเอง หรือแม้แต่หน่วยปราบคอร์รัปชั่นระดับสูง ก็ต้องระวังคนของท่านเช่นกัน เพราะกรรมการใหญ่ๆ คงไม่มีเวลาและโอกาสที่จะไปดูทุกเรื่องได้ ก็ต้องผ่านคณะเจ้าหน้าที่กลั่นกรอง คณะทำงานคณะอนุกรรมการ บางทีท่านเหล่านี้ ก็อาจถูกติดต่อให้ผ่อนปรนแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ได้ ดังนั้น การฮั้วประมูลโดยที่ผู้เข้าประมูล 3 ราย มีใบเสนอราคาที่มีจุดผิดพลาด 5-6 แห่งเหมือนกัน ลงตัวเลขในรายการย่อยก็ผิดที่เดียวกัน แต่หน่วยงานปราบคอร์รัปชั่นก็ตอบผู้นำข้อมูลมาให้ว่า เป็นของธรรมดาที่จะผิดเหมือนกันได้ (ซึ่งแท้จริง คือ การฮั้วประมูล โดยพิมพ์ลอกมาจากเอกสารเสนอราคาอันเดียวกัน ผิดแต่ราคาสุดท้ายเท่านั้น) กรรมการใหญ่ก็ควรจะต้องตรวจสอบลูกน้องของตนบ้าง
สรุปแล้ว การที่ไทยเราจะต้องยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้ เพื่อเผชิญภัยพิบัติที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร ในอนาคต ก็เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้มีฐานะ และความรู้ความชำนาญแตกต่างกัน รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะมีส่วนทำให้เป้าหมายเป็นจริงได้ แต่ถ้ารัฐยังมีการเมืองที่ล้มลุกคลุกคลาน คอยโค่นล้มแย่งอำนาจกัน ความหวังของเรา ก็คงจะทำให้เป็นจริงได้ยากขึ้น
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี