“โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)” ความหวังในการดึงนักลงทุนจากทั่วสารทิศเข้ามายังประเทศไทยอันจะทำให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในชาติ ทั้งนี้คาดการณ์ว่า หากโครงการพัฒนาแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ 3 จังหวัด ของ EEC อย่างฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง กลายเป็นพื้นที่เดียวของประเทศไทยที่จะมีผู้คนอพยพเข้ามามหาศาล นอกเหนือจากประชากรที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ แน่นอนว่า “ความต้องการใช้ทรัพยากร” โดยเฉพาะ “น้ำ” ย่อมต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงกระนั้น ด้วยความที่ภาคตะวันออกเดิมมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่มากมายอยู่ก่อนแล้ว และหลายแห่งก็เข้าใจปัญหา
ดังกล่าวจนนำไปสู่การปรับตัว หนึ่งในนั้นคือ “นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้” โดยหลังจากเผชิญวิกฤติภัยแล้งในปี 2548 ที่นี่เป็นแห่งแรกๆ ที่มุ่งสู่การ “นำน้ำเสียมาบำบัดเพื่อใช้ใหม่” ทดแทนแหล่งน้ำจากธรรมชาติ หรือน้ำประปา สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้กับผู้ประกอบการรายเดิมในนิคมฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ชูชาติ สายถิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยในภาพรวมแล้วเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจต่อการลงทุนมากประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี มีค่าแรงที่ไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน เส้นทางคมนาคมขนส่ง ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางบกและทางทะเล
แต่ความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะมีความต้องการสูงขึ้นมากถึง 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2580 เป็นปัญหาสำคัญที่มีความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นอย่างมาก ทำให้นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ต้องพัฒนาด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนอย่างจริงจัง บนพื้นฐานที่มีข้อมูลการพยากรณ์อากาศที่ดี การวิเคราะห์แหล่งน้ำทางเลือกต่างๆ ทั้งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำใต้ดิน การรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
ชูชาติเล่าต่อไปว่า ปัจจุบันนิคมฯ มีระบบบำบัดน้ำเสียและการรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ภายในนิคมถึง 5 สถานี มีกำลังการผลิตน้ำเสียทั้งหมด 35,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คิดเป็น 13 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีระบบการหมุนเวียนน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมดสามารถประหยัดหรือลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำได้ถึงร้อยละ 35-40 หรือเท่ากับการนำน้ำดิบ 1 ลูกบาศก์เมตร มาใช้ได้เท่ากับ 1.4 ลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ยังได้นำระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพที่พัฒนาขึ้นไปใช้กับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม เมียนมา และลาวด้วย
ซึ่งการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพด้วยหลักการ 3Rs (Reduce Reuse และ Recycle) และกระบวนการรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ ตามรูปแบบที่ดำเนินการอยู่จะส่งผลโดยตรงทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำ การจัดการน้ำเสีย
และลดการแย่งชิงน้ำกับชุมชนในปีวิกฤติภัยแล้ง รวมถึงการอนุรักษ์แหล่งน้ำ เกิดจากกระบวนการจัดการน้ำเสียที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้รองรับกับระบบกรอง RO (Reverse Osmosis Membrane) จึงทำให้เกิดประโยชน์ทั้งการประหยัดน้ำ และการจัดการน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูง
“การพัฒนาเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำที่มีความมั่นคงและยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และการตัดสินใจของนักลงทุนในพื้นที่ EEC เป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาประเทศให้เติบโต ด้วยความมั่นคงและยั่งยืน เป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” กรรมการผู้จัดการ บ.อมตะ วอเตอร์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ชวลิต รัตนธรรมสกุล หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยนวัตกรรมการบำบัดของเสียและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการ “การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมและเมือง โดยการใช้นำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ในพื้นที่ EEC” ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนการบริหารจัดการน้ำ กล่าวว่า น้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม จะเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำต้นทุนใหม่ของ EEC ที่สำคัญสามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำประปาในช่วงฤดูแล้งได้ดี
โดยแนวทางที่จะช่วยให้การจัดการทรัพยากรน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การใช้ 3Rs (Reduce Reuse and Recycle) ซึ่งจากการวิจัยเบื้องต้นพบว่า ในปี 2563 พื้นที่ EEC มีนิคมอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการประหยัดน้ำโดยได้ดำเนินการโครงการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ อาทิ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีและระยอง ประมาณร้อยละ 40 และที่มากกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ สวนอุตสาหกรรมสหพัฒน์ ศรีราชา, นิคมอุตสาหกรรม WHA ตะวันออก,นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เป็นต้น
“ผลการสำรวจยังพบว่า ประเภทของอุตสาหกรรมที่มีการใช้น้ำมากในพื้นที่ EEC มีศักยภาพในการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ได้มากกว่า 15% อาทิ กลุ่มสิ่งทอมีศักยภาพประหยัดน้ำได้ 15-49.5%, กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีศักยภาพประหยัดน้ำได้ 15-37%, กลุ่มผลิตภัณฑ์อโลหะและยางประหยัดน้ำได้ 18-55%, กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ประหยัดน้ำได้ 16-34%, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มประหยัดน้ำได้ 15-18% และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ประหยัดน้ำได้ 15 %” รศ.ดร.ชวลิต ระบุ
มุมมอง “น้ำเสีย” จากนี้ จะเปลี่ยนไป เมื่อน้ำเสีย จะกลายเป็นแหล่งน้ำจืดในอนาคตเทคโนโลยีการจัดการน้ำตัวช่วยในการยกระดับน้ำเสียให้เป็นน้ำใส การรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่ คือความหวังของอุตสาหกรรม เพราะโอกาสของ EEC อยู่ที่ความมั่นคงด้านน้ำ!!!
ทีมงาน “วารีวิทยา”
แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead)
ด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี