“ยานยนต์” อุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับแรงงานไทยอย่างมากมาตลอดหลายสิบปี แม้จะเป็นเพียงฐานรับจ้างผลิตของแบรนด์รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกแต่ก็มีชื่อเสียงด้านคุณภาพเทียบเท่าประเทศต้นกำเนิด อย่างไรก็ตาม จากหลายๆ ปัจจัย เช่น กับดักรายได้ปานกลางที่ค่าจ้างแรงงานไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ สงครามการค้า และล่าสุดกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ส่งผลสะเทือนถึงแรงงานอยู่พอสมควร
อาทิ มีข่าวเสมอมาว่าจะมีผู้ประกอบการจะนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) บ้าง หุ่นยนต์ (Robot) บ้าง มาใช้แทนแรงงานคน หรือแม้แต่อาจถึงขั้นตัดสินใจ “โบกมือลา” ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้มีการจัดเสวนาออนไลน์ เรื่อง “อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย : โรบอทเอไอ หรือย้ายฐาน” โดย ภาคีสังคมแรงงานสู้วิกฤติโควิด
ภูภาร สมาทา ประธานสหภาพแรงงานโตโยต้าประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วง 2-3 เดือนล่าสุด อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวจาก 2 ปัจจัย คือ 1.ผู้บริโภคลดลง ยอดซื้อรถยนต์ใหม่หายไปร้อยละ 50 กับ 2.ปัญหาจากไฟแนนซ์ในการเก็บค่างวด ทำให้ตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ไม่สามารถส่งเงินให้บริษัทผลิตรถยนต์ได้คล่องอย่างช่วงก่อนหน้านั้น ซึ่งสะท้อนภาพความต้องการเก็บเงินสดไว้ใช้จ่ายในครอบครัว แต่หนี้ผ่อนรถยนต์เมื่อพอกพูนมากเข้าก็ย่อมส่งผลกลับมาที่บริษัทรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้บริษัทยังไม่ต้องการเลิกจ้างงาน เพียงแต่การทำงานจะไม่ครบชั่วโมงอย่างช่วงปกติ ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่มีนโยบายเลิกจ้างพนักงาน แม้จะมีแรงงานมากกว่ายอดการสั่งผลิต โดยใช้วิธีการบริหารคน มีการสลับสับเปลี่ยนให้ทำงานระหว่างในและนอกสายการผลิต เพื่อให้พนักงานทุกคนไม่ลืมทักษะการประกอบรถยนต์ ยกเว้นแต่โครงการเกษียณก่อนกำหนดเท่านั้นซึ่งเป็นโครงการโดยสมัครใจสำหรับพนักงานตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไปที่ดำเนินไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ซึ่งก็มีการสอบถามเข้ามาเช่นกันว่าจะมีโครงการอีกเมื่อใด
เพชร โสมาบุตร ตัวแทนสหภาพแรงงานฮอนด้าประเทศไทย เปิดเผยว่า ฮอนด้านั้นมีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ “ในขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์ลดลงจากประมาณ 1 หมื่นคัน เหลือเพียง 2,600 คัน แต่ในส่วนของมอเตอร์ไซค์นั้นกลับได้รับผลกระทบน้อยและฟื้นตัวเร็ว โดยมียอดการผลิตถึงกว่า7 หมื่นคัน” ส่วนประเด็น AI หรือหุ่นยนต์นั้นเข้ามานานเกือบ 10 ปีแล้ว สถานการณ์โควิด-19 อาจเร่งให้มีการใช้มากขึ้น
ด้านหนึ่งสหภาพแรงงานให้ความร่วมมือกับบริษัทในการลดต้นทุน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไม่ได้ลดลงไปด้วย โดยในส่วนของงานผลิตรถยนต์นั้นฝ่ายบริหารเคยเปรยๆ ไว้เช่นกันว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ ก็ให้สหภาพแรงงานเสนอโครงการสมัครใจลาออกได้ ซึ่งสหภาพฯ ก็จะต้องพิจารณาว่าจะจ่ายค่าชดเชยผู้เข้าโครงการอย่างไร ส่วนการย้ายฐานการผลิตยังไม่มีข่าว และยังมองในแง่ดีว่าหลายประเทศยังมีปัญหาโรคระบาดส่วนไทยควบคุมได้ การสั่งผลิตอาจจะมาอยู่ที่ไทย
สมเกียรติ เจียดกำจร ประธานสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องหยุดการผลิตไปประมาณ 1 เดือน และปัจจุบันแม้กลับมาดำเนินการผลิตแล้วแต่ก็ยังไม่เต็มที่ ยอดการผลิตลดลงไปร้อยละ 50 เพียงแต่ผู้บริหารต้องการให้มีการผลิตทั้ง 2 กะเพื่อลดผลกระทบกับพนักงาน ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นวางสายการผลิตใหม่
ส่วนพนักงานเหมาค่าแรง (Sub Contract) ที่ผ่านมาสหภาพแรงงานพยายามต่อรองให้บริษัทบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ แทนพนักงานประจำที่ตัดสินใจเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด นอกจากนี้ยังมีพนักงานรับเหมาช่วงบางส่วนที่ตัดสินใจเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ซึ่งจะได้รับการชดเชยเท่ากับพนักงานประจำ สุดท้ายการย้ายฐานการผลิต ยอมรับว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีฐานการผลิตทั่วโลก ฐานใดต้นทุนถูกก็อาจจะโยกย้ายไปที่นั่น
อาลี นิมะ ตัวแทนสหภาพแรงงานยานยนต์และอะไหล่อีซูซุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็มีปัญหาเศรษฐกิจอยู่แล้ว เมื่อมีโรคระบาดก็ต้องยุบกะจาก 2 เหลือ 1 กะ มีการสลับกันทำงานโดยจ่ายค่าจ้างเฉพาะวันที่มาทำงาน แต่ในช่วงกลางเดือน ก.ค. 2563 จะกลับมาเป็น 2 กะอีกครั้ง “หากมองอีกแง่หนึ่ง วิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสให้ผู้นำแรงงานวางแผนรับมือสถานการณ์ในอนาคต” ส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้นั้นเน้นไปที่ส่วนการผลิตที่เสี่ยงอันตราย ดังนั้นการจ้างงานยังเป็นปกติ
ส่วนโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดนั้นเคยมีแต่เป็นช่วงก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกี่ยวกับทั้งปัญหาโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ แต่มาจากความต้องการส่วนบุคคลของแรงงานเอง เช่น อายุมากขึ้นแล้วอยากกลับไปประกอบอาชีพที่บ้านเกิด และการย้ายฐานการผลิตก็ยังไม่มีข่าว เพราะรถกระบะอีซูซุยังขายดีในประเทศไทย อีกทั้งไทยยังเป็นฐานการผลิตสำคัญในการส่งออกรถกระบะไปขายทั่วโลก
ปิยะ พวงเพชร ประธานสหภาพแรงงานรถยนต์มิตซูบิชิแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้จำนวนลูกค้าต่างประเทศลดลงร้อยละ 50 ซึ่งมิตซูบิชินั้นมีสัดส่วนตลาดต่างประเทศร้อยละ 70 ตลาดในประเทศร้อยละ 30 นำไปสู่การต้องลดต้นทุน เช่นลดชั่วโมงทำงานล่วงเวลาลง หยุดกิจการชั่วคราวในเดือน เม.ย. 2563 เช่นเดียวกัน การนำหุ่นยนต์เข้ามาเน้นงานส่วนที่เสี่ยงอันตรายเป็นหลักมากกว่าจะใช้แทนแรงงานคน ในขณะที่ยังไม่มีข่าวว่ามิตซูบิชิจะย้ายฐานการผลิตรถยนต์ออกจากไทย
โดยพนักงานของมิตซูบิชิมีอยู่ประมาณ 6,900 คน แบ่งเป็นพนักงานประจำ 5,500 คน กับพนักงานสัญญาจ้างอีก 1,400 คน ที่ผ่านมามีการนำโครงการลาออกโดยสมัครใจมาใช้ ซึ่งดีกว่าการปลดพนักงาน โดยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. 2563 มีผู้เข้าร่วม 750 คน ในจำนวนนี้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน 600 คน คนกลุ่มนี้จะได้รับการอบรมด้านสิทธิตามกฎหมายประกันสังคม รวมถึงอาชีพเสริม เช่น การเพาะเห็ด การเลี้ยงสัตว์
มานิตย์ พรหมการีย์กุล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เดิมทีนั้น ปี 2563 มีความคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะเริ่มฟื้นตัวหลังสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกายุติลง แต่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยใช้มาตรการล็อกดาวน์ การผลิตรถยนต์ในปีนี้จึงชะลอตัวลง โดยครึ่งแรกของปี 2563 ผลิตได้เพียง 5 แสนคัน และคาดว่า ณ สิ้นปี 2563 จะผลิตได้เพียง 9 แสนคันเศษๆ เท่านั้น ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าไวรัส
โควิด-19 จะอยู่ไปอีก 2-3 ปี ส่วนเศรษฐกิจอาจใช้เวลาถึง5 ปี จึงจะฟื้น
แล้วคนงานจะอยู่อย่างไร?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี