สังคมโลกในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องความหลากหลายทางเพศมากกว่าในอดีตอยู่พอสมควร บางประเทศไปไกลถึงขั้นนอกจากจะอนุญาตให้คนรักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้แล้วยังให้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อได้ด้วย ขณะที่บางประเทศยังไม่ไปไกลถึงขั้นนั้นโดยอาจให้ใช้กฎหมายใหม่ที่มีลักษณะเทียบเคียงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการสมรส (กฎหมายคู่ชีวิตหรือหุ้นส่วนชีวิต) เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายของคู่รักเพศเดียวกันให้เทียบเท่าคู่รักต่างเพศ
สำหรับประเทศไทย แม้ในทางสังคมจะยอมรับการมีตัวตนของคนรักเพศเดียวกันอยู่มากพอสมควรโดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียด้วยกัน แต่ในทางกฎหมายยังไม่มีการรับรอง ซึ่งนอกจาก (ร่าง) พ.ร.บ.คู่ชีวิต ที่พยายามผลักดันตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ติดขัดเรื่องการเมืองทำให้ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่เป็นระยะๆ รวมถึงมีเสียงเรียกร้องให้ไปใช้วิธีแก้ไข ป.แพ่งฯ แล้ว ยังมีการพูดถึง “กฎหมายรับรองเพศ” ที่อาจจะมีข้อถกเถียงมากกว่าเนื่องจากเป็นประเด็นที่ยิ่งซับซ้อน
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนาเรื่อง “การขับเคลื่อนกฎหมายการรับรองเพศ (GenderRecognition) ในเชิงนิติบัญญัติภายใต้บริบทสังคมไทย” ณ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) โดย นิชนัจทน์ สุดลาภา นางแบบข้ามเพศและกิจกรรมข้ามเพศ กล่าวว่า การขับเคลื่อนกฎหมายการรับรองเพศเป็นเรื่องที่สำคัญมากของผู้มีความหลากหลายทางเพศ เห็นได้จาก “คำนำหน้านามจะเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต” เช่น ถูกปฏิเสธการให้บริการในหลายพื้นที่ การเดินทางไปต่างประเทศ สิทธิการรักษาพยาบาล
ซึ่งอุปสรรคในการผลักดันกฎหมายการรับรองเพศจะมีความยาก เพราะทัศนคติของคนไทยที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปีลงมา จะมีความเข้าใจและเปิดกว้างกับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่กลุ่มที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป จะปิดกั้นและไม่ยอมรับกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศเท่าที่ควร ฉะนั้นผู้ใหญ่ในสังคมไทยที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในการทำให้กฎหมายออกมา ควรเปิดรับและทำความเข้าใจกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศให้มากขึ้น
“อยากให้มีการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเป็นทางออกที่ดีที่สุด กฎหมายบางอย่างไม่จำเป็นต้องเขียนหญิงและชายแล้ว บทบาทในสังคมปัจจุบันมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งประเทศไทยมาไกลมาก ผู้หญิงได้รับสิทธิ์เท่าเทียมผู้ชายแล้ว แต่กลุ่มคนข้ามเพศและกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ยังไม่รับความเท่าเทียมในสังคมไทย จึงอยากให้ทุกคนตื่นตัวและเข้าไปคุยกับคนที่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง กระทรวงที่ดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง”นิชนัจทน์ กล่าว
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ โฆษกคณะกรรมาธิการกิจกรรมเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า การขับเคลื่อนกฎหมายรับรองเพศนั้น จะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีความยากเป็นอย่างมาก เห็นได้จากภาษาไทยจะมีเฉพาะเจาะจงแค่เพศหญิงกับเพศชายเท่านั้น ฉะนั้นจะต้องมีการศึกษาที่นอกกรอบจากเดิมออกไป และต้องมีการพัฒนากฎหมายเพื่อให้กลุ่มคนข้ามเพศมีสิทธิเท่าเทียมกับคนในสังคม
โดยร่างกฎหมายที่กำลังร่างขึ้นจะมีอยู่ 3 หัวข้อ คือ เพศชาย เพศหญิง และเพศทางเลือก “และหากกฎหมายการรับรองเพศผ่านแล้ว คำถามต่อไปคือมีความ
เสมอภาคแล้วหรือยัง?” เพราะถึงมีกฎหมายแล้วแต่ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ เนื่องจากสังคมมีความรังเกียจกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงทำให้มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมอยู่ จึงทำให้ต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และสวัสดิการจะต้องครอบคลุมถึงด้วย
ขณะที่ ผศ.ดร.อารยา สุขขุม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรับรองเพศ กล่าวว่า การออกกฎหมายการรับรองเพศ มีความจำเป็นอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ความจำเป็นในข้อเท็จจริง เนื่องจากสถานะทางสุขภาพของคนข้ามเพศถูกตีตรามาตลอดว่าเป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านจิต ซึ่งในปัจจุบันคนข้ามเพศไม่ใช่มีความผิดปกติทางจิต แต่เป็นการแสดงที่ต่างจากเพศในกำเนิด 2.พันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้มีการทำข้อตกลงกับต่างประเทศหลายเรื่อง กฎหมายการรับเพศเช่นเดียวกันที่จะต้องมีการทำข้อตกลง
และ 3.การใช้กฎหมาย เนื่องจากสิ่งที่จะคุ้มครองคนที่มีความหลากหลายทางเพศคือ “กฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ” ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งความยากนั้นจะอยู่ที่เนื้อหา โดยสิทธิมนุษยชนไม่สามารถแบ่งเป็นชิ้นๆได้ เพราะต้องรวมกันเป็นระบบ ฉะนั้นการรับรองเพศต้องเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นด้วย เช่น สิทธิในสุขภาพจะต้องไม่มีการบังคับให้แปลงเพศเพื่อให้ได้การรับรองซึ่งจะมีกระทบต่อสุขภาพและเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่นด้วย
อีกด้านหนึ่ง ชมพูนุช นาครทรรพ ผู้ขับเคลื่อนกฎหมายรับรองเพศ กล่าวว่า เรื่องของสิทธิ เสรีภาพ ในการเลือกเพศ เป็นสิ่งที่ควรมีตั้งแต่กำเนิด การผลักดันกฎหมายรับรองเพศนั้นมีรายละเอียดสำคัญหลายประการ เช่น มีตัวเลือกว่าจำเป็นต้องแปลงเพศหรือไม่ ไปจนถึงสามารถได้สิทธิรับรองเพศตามเพศใหม่ การรับรองเพศใหม่จะสามารถรับรองได้เมื่อบุคคลอายุเท่าไร หน่วยงานใดที่จะต้องเป็นผู้รับรองเพศ การเก็บประวัติและการเปิดเผยประวัติของเพศเดิม บุคคลใดที่จะสามารถเปิดเผยได้และเหตุที่จะเปิดเผยได้คืออะไร
“ความยากในการผลักดันกฎหมายนั้นจะต้องหารือกันให้ได้ข้อสรุปว่าลักษณะแบบไหนควรได้รับการรับรองเพศสภาพตามเพศใหม่ โดยที่กฎหมายต้องให้คุณค่ากับการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเหมาะสม เห็นได้จากเรื่องความกังวลที่ชาย-หญิงกลัวว่าจะถูกกลุ่มคนข้ามเพศหลอกแต่งงาน หรือแต่งงานแล้วจะมีลูกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างความเข้าใจกับคนรอบตัวก่อนที่จะพูดถึงกฎหมาย” ชมพูนุช กล่าว
ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่ชายแท้ทั้งแท่งเผลอคบหาเป็นแฟนหรือถึงขั้นแต่งงานอยู่กินกันเป็นปีโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสาวประเภทสองอาทิ ในปี 2555 ที่ประเทศเบลเยียม มีผู้ชายอยู่กินกับหญิงรายหนึ่งมานานถึง 19 ปีก่อนจะรู้ว่าภรรยาของตนเป็นผู้ชายแปลงเพศ หรือในปี 2562 กรณีครูสาวที่ตระเวนหลอกเอาทรัพย์สินจากชายหนุ่มในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ก่อนที่เหยื่อรายหนึ่งจะไปแจ้งความแล้วเมื่อมีการตรวจสอบทะเบียนราษฎรก็ได้รู้ว่าผู้ต้องหาเป็นผู้ชายที่แปลงเพศแล้ว โดยทั้ง 2 กรณี ฝ่ายชายยอมรับว่าแยกเพศไม่ออก
ดังนั้นแม้สิทธิของเพศทางเลือกในปัจจุบันจะมีมากขึ้นกว่าในอดีต แต่ในบางประเด็นอย่าง “คำนำหน้าชื่อ” ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่น่าจะยังต้องถกเถียงกันไปอีกนานเพื่อหาจุดลงตัว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี