“สิงหาคม” เดือนของความเป็น “แม่” และหากจะ ขยายความมากกว่านั้นจะเรียกว่า “เดือนของผู้หญิง” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะก่อนจะเป็นแม่ ผู้หญิงย่อมต้องเป็น “เมีย” หรือภรรยามาก่อน ซึ่งหากแต่งงานได้ผู้ชายที่ดีเป็นผัวหรือสามีย่อมส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกายและจิตของผู้หญิงรวมถึงส่งผ่านไปยังผู้เป็นลูกด้วยจากการมีพ่อที่ดี แต่หากเป็นตรงข้าม ครอบครัวหรือบ้านคงกลายเป็นนรกบนดิน ไม่ใช่สวรรค์วิมานอย่างที่ใครหลายคนเปรียบเปรย
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “แม่…ภาระที่แบกรับซ้ำยังถูกทำร้าย” ณ เดอะฮอลล์ บางกอก วิภาวดี 64 กรุงเทพฯ เชิญคนเป็นแม่และเมียที่เคยเผชิญสถานการณ์ “ความรุนแรงในครอบครัว” มาบอกเล่าช่วงเวลาอันเลวร้ายของตน อาทิ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี พนังงานโรงงานแห่งหนึ่ง เผยว่า ตนเองแต่งงานและอยู่กับสามีมา 16 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน ก่อนแต่งงานสามีเป็นคนดีมาก แต่เมื่อลาออกจากงานแล้วกลับภูมิลำเนานิสัยก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักแทบทุกวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจอุ้มท้องลูกคนแรกหนีเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อคลอดลูกเสร็จจึงสมัครเป็นพนักงานโรงงาน และแม้จะสามีตามมาอาศัยอยู่ด้วย โดยได้งานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงติดนิสัยดื่มจัดจนเมาไม่ได้สติ ตามด้วยการใช้คำพูดรุนแรงใช้กำลังทำลายข้าวของและทำร้ายร่างกายถึงขั้นเลือดตกยางออก “เคยถูกสามีใช้เข็มขัดรัดคอจนถึงขั้นสลบ” และเคยทนไม่ไหวไปแจ้งความแต่ตำรวจไม่รับแจ้ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของครอบครัว มีบางครั้งอยากฆ่าตัวตายแต่ไม่ทำเพราะสงสารลูก
“ช่วงการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวยิ่งรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากรายได้ลดลงแต่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ยิ่งช่วงเปิดเทอมมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเพราะมีค่าเทอมค่าชุดนักเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ช่วงวิกฤติโควิด-19 โรงงานไม่มีโอทีให้ ทำให้ถูกบังคับไปกู้เงิน หรือยืมเพื่อน ถ้าไม่ได้เงินมาก็จะถูกทำร้าย จนได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เนื่องจากอยู่ในพื้นที่เครือข่ายแรงงานของมูลนิธิจนเจ้าหน้าที่ทราบเรื่อง และได้เข้าไปช่วยเหลือเบื้องต้น” น.ส.เอ ระบุ
ความรุนแรงในครอบครัวนั้นเกิดขึ้นได้ไม่จำกัดชนชั้นฐานะหรือระดับการศึกษา ดังกรณีของ น.ส.ยุ้ย (นามสมมุติ) ดีกรีปริญญาโทมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐแห่งหนึ่ง ต่อมาได้สามีเป็นชาวต่างชาติและมีลูกวัย 8 ขวบ 1 คน ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยุ้ยและครอบครัวเดินทางออกจากประเทศเยอรมนีกลับมาที่เมืองไทย โดยไม่คิดว่าจากที่เคยเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่น กลับต้องมาเผชิญความรุนแรงเสียเองจนถึงขั้นต้องแจ้งความเอาผิดสามี แม้จะดูเป็นเรื่องเจ็บปวดและอับอายก็ตาม
“ช่วงปลดล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ทำให้สามีชาวต่างชาติกลับมาดื่มอีกครั้ง เนื่องจากสามีชอบที่จะทำกิจกรรม เมื่อเกิดวิกฤติที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านจึงเกิดความเครียด จากที่ไม่เคยทะเลาะกันก็เริ่มมีปากเสียง เมากลับมาก็ทำร้ายร่างกายต่อหน้าลูก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ลูกชายวัย 9 ขวบ ที่เคยเป็นเด็กร่าเริง เริ่มซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงจากพ่อในฐานะแม่จะต้องลุกขึ้นทำอะไรบางอย่างเพื่อลูกบ้างซึ่งไม่อยากให้ลูกต้องซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงมากขึ้น เพราะพฤติกรรมเด็กยังสามารถปรับเปลี่ยนได้” น.ส.ยุ้ย กล่าว
ขณะที่ จรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวเสริมว่า จากการรวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับ ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย. 2563 มีข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว แบ่งเป็น 1.ข่าวฆ่ากันตาย มี 201 ข่าว 2.ข่าวทำร้ายร่างกาย มี 51 ข่าว 3.ข่าวฆ่าตัวตาย มี 38 ข่าว และ 4.ข่าวความรุนแรงทางเพศในครอบครัว มี 31 ข่าว และจำนวนไม่น้อยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่า “ผู้หญิงในฐานะภรรยาและแม่ ต้องแบกรับทั้งความคาดหวังของสังคมที่หล่อหลอมให้ทั้งต้องดูแลครอบครัวและยังต้องรองรับอารมณ์ของสามี” ซึ่งทางออกของปัญหา คือ “ต้องรื้อสร้างวิธีคิดใหม่” ได้แก่
1.ครอบครัวเป็นเรื่องของทั้งชายและหญิง ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน ต้องมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมื่อเกิดปัญหาต้องพูดคุยหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน2.หน่วยงานภาครัฐต้องประชาสัมพันธ์ช่องทางการให้ความช่วยเหลือที่เป็นมิตร ผู้ประสบปัญหาสามารถขอความช่วยเหลือได้
3.หน่วยงานภาครัฐควรสร้างทางเลือกการมีอาชีพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตกงานให้พึ่งตนเองได้ และ 4.คนในสังคมไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่ถูกทำร้ายเมื่อได้รับบาดเจ็บก็ตัดสินใจเข้าแจ้งความแต่ตำรวจอาจจะไม่รับแจ้งโดยให้กลับไปไกล่เกลี่ยโดยบอกว่าเป็นเรื่องในครอบครัว และเมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ผู้ที่ถูกทำร้ายสามารถมองหาหน่วยงานอื่นเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ทั้งหน่วยงานรัฐหรือมูลนิธิต่างๆ
อนึ่ง “น้ำเมา” ยังคงเป็นปัจจัยกระตุ้นความรุนแรง แม้จะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่ดื่มแล้วมีปัญหา แต่จะทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาคนที่ดื่มแล้วก่อเรื่องก่อราวได้ ซึ่งรวมถึงบรรดา “พ่อ-ผัว ขี้เมา” ที่สร้างความทุกข์ให้กับเมียและลูกจากการใช้ความรุนแรง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี