ศูนย์เอเชียแปซิฟิกศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “พรมแดนไทย-กัมพูชา : อดีต ปัจจุบัน อนาคต” เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2568 โดย ผศ.ดร.ณัฐพร ไทยจงรักษ์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มศว ฉายภาพประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยกล่าวถึง “เทือกเขาพนมดงรัก” ในภาษาไทย หรือ “พนมดงเร็ก” ในภาษาเขมร ที่แปลว่า “ภูเขาไม้คาน”
ซึ่งมีความเชื่อว่าเทือกเขานี้กั้นระหว่าง “เขมรสูง” หมายถึงชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศไทย กับ “เขมรต่ำ” หมายถึงชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีคำว่า “รัฐชาติ” และมีการกำหนด “เส้นเขตแดน” เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาก็มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ของคนไทยมากนักเมื่อเทียบกับความขัดแย้งระหว่างไทยกับพม่า (ปัจจุบันคือประเทศเมียนมา) โดยชาวกัมพูชานั้นเชื่อว่าอาณาจักรพระนครที่เคยรุ่งโรจน์ต้องล่มสลายลงเพราะการรุกรานของกองทัพสยาม (ไทย)
นอกจากนั้นยังมีนิทานเรื่อง “พระโค – พระแก้ว” พระโคหรือวัว เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพาหนะของพระอิศวร ส่วนพระแก้วเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีปัญญา นิทานดังกล่าวถูกเล่าผ่านกันมาเป็นทอดๆ ในหมู่ชาวกัมพูชา บอกว่าชาวสยามได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรของชาวเขมร (กัมพูชา) และนำพระโค – พระแก้ว กลับไปด้วย นั่นทำให้ดินแดนของชาวสยามมีแต่เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น สวนทางกับดินแดนของชาวเขมรที่มีแต่ตกต่ำลง นิทานเรื่องนี้กลายเป็นที่มาของความฝังใจของชาวกัมพูชา ที่เชื่อว่าศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ของตนถูกชาวสยามหรือไทยขโมยไป
ขณะที่ในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ กัมพูชาเป็นประเทศที่อยู่กับสงครามมานาน ตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมาก็เผชิญสงครามกลางเมือง ตามด้วยยุคเขมรแดงที่ปกครองอย่างโหดร้ายจนมีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก และเมื่อหมดยุคเขมรแดงก็ยังมีสงครามกลางเมืองต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งตลอดห้วงเวลานี้ พื้นที่บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ก็จะมีเรื่องเล่ากันว่ามีการย้ายหลักเขตแดนไป – มา รวมถึงมีค่ายผู้อพยพและการตั้งถิ่นฐาน
อนึ่ง ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชา ชาวเขมรก็มีความคิดอยู่ว่ากัมพูชาอยู่ใต้อิทธิพลของสยามและเวียดนาม ดังนั้นการที่ฝรั่งเศสมาปกครองก็เป็นการช่วยคุ้มครองกัมพูชาให้รอดพ้นจากอิทธิพลของ 2 อาณาจักรดังกล่าว และในยุคนี้ก็เป็นฝรั่งเศสที่นำพาศิลปะวิทยาการต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ในกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการศึกษาค้นคว้าโบราณสถานและการทำแผนที่
“ในงานหลายๆ ชิ้นของฝรั่งเศสพยายามจะตอบว่าสนธิสัญญาปี 1907 (2450) ทำไมเรา (ไทยหรือสยาม) ดูว่าเสียดินแดน? แต่เอาเข้าจริงจะเห็นว่าในมุมมองของฝรั่งเศส มองว่า ณ ตอนนั้นสยามเองรู้ตลอดเวลาว่าดินแดนตรงนี้ไม่ใช่คนสยาม เสียไปได้ดินแดนจันทบุรีหรือตราดกลับมาค่อนข้างที่จะคุ้มกว่า และสิ่งที่มากกว่านั้นในมุมมองจากเอกสารของฝรั่งเศส พูดถึงรัฐสยามตอนนั้นอยากได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตกลับคืนมา
เพราะมีการเจรจาภายใต้เงื่อนไขสนธิสัญญา 1904 (2447) กับ 1907 เรื่องของสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ฉะนั้นจากปี 1907 มันทำให้เราได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตเราคืนมา แต่เราต้องคืนพระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณ กลับไปให้กัมพูชา มันเลยมีประเด็นที่ถกเถียงในมุมมองที่แตกต่างกัน” ผศ.ดร.ณัฐพร กล่าว
ดร.ธีรเวทย์ ลิมโกมลวิลาศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายพัฒนาศักยภาพนิสิต คณะสังคมศาสตร์ มศว ในฐานะนักวิชาการด้านภูมิศาสตร์ กล่าวว่า สนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส ปี 2450 ระบุว่า คณะกรรมการผสมซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่จากฝรั่งเศสและสยาม จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากประเทศภาคีทั้ง 2 ภายใน 4 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสนธิสัญญานี้ และจะต้องรับผิดชอบในการกำหนดขอบเขตพรมแดนใหม่ คณะกรรมการจะต้องเริ่มดำเนินการทันทีที่ฤดูกาลเอื้ออำนวย และจะต้องดำเนินการต่อไปตามพิธีสารการกำหนดขอบเขตที่แนบมากับสนธิสัญญานี้
และพิธีสารการกำหนดขอบเขต ระบุว่า เขตแดนจะตาม “แนวแบ่งน้ำ” หรือก็คือ “สันปันน้ำ” แถมยังขยายความด้วยว่า แบ่งตาม 1.ทะเลสาบใหญ่ (โตนเลสาบของกัมพูชา) 2.แอ่งแม่น้ำโขง (ฝั่งลาว) และ 3.แอ่งน้ำมูล (อีสานใต้ของไทย) นอกจากนั้นยังมีข้อที่ระบุว่า หากรัฐบาลฝรั่งเศสต้องการแก้ไขเขตแดนโดยมุ่งหมายที่จะใช้เส้นปกติแทนเส้นธรรมชาติ การแก้ไขดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลสยามไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
โดยแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จัดทำขึ้นระหว่างปี 2450 – 2451 ซึ่งเป็นแผนที่ที่กัมพูชายึดถือ ซึ่งแม้จะทำโดยเทคโนโลยีทันสมัย ณ เวลานั้น แต่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีปัจจุบันจะมีความคลาดเคลื่อนสูง ส่วนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่ ICJ ใช้ตัดสินคดีเขาพระวิหาร จัดทำขึ้นในปี 2452 พบว่า เมื่อนำแผนที่ฉบับดังกล่าวมาตรึงให้ตรงกับพิกัดที่ระบุในแผนที่แล้วลองกวาดภาพเปรียบเทียบกับภาพปัจจุบัน จะเห็นว่าตำแหน่งลองจิจูดตรงกัน แต่ละติจูดขยับขึ้นไป ดังนั้นหากกัมพูชาใช้แผนที่ฉบับนี้ โอกาสที่เขตแดนจะล้ำเข้ามาในไทยมีสูงมาก
ส่วนข้อแตกต่างระหว่างแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ กับแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ที่ฝ่ายไทยยึดถือ 1.ระวางแผนที่ของกัมพูชา 1 ระวางจะมากกว่าแผนที่ของไทยเกือบ 10 เท่า 2.การลากเส้น 1 มม. บนแผนที่ 1 : 50,000 จะเท่ากับพื้นที่จริง 50 เมตร (ซ้ายและขวาข้างละ 25 เมตร) แต่หากลากบนแผนที่ 1 : 200,000 จะเท่ากับพื้นที่จริง 200 เมตร (ซ้ายและขวาข้างละ 100 เมตร) แต่เมื่อนำไปเทียบแล้วโอกาสคลาดเคลื่อนจะอยู่ที่ 75 เมตรในพื้นที่จริง (100 เมตร – 25 เมตร) จากการทดลองลากแนวเส้นบริเวณเขาพระวิหาร ใช้การขยายภาพ 1 : 4,000
อย่างไรก็ตาม แนวปฏิบัติที่ใช้จริงจะไมยึดตามการขยายภาพเข้า – ออก แต่ถือเป็นเส้นเดียวกันเทียบกันได้ไม่ว่าจะใช้แผนที่มาตราส่วนใดก็ตาม ขณะที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยทำแผนที่โดยอิงตามหลักสันปันน้ำ เช่น ใช้ LIDAR สำรวจความสูงของพื้นผิว มีความละเอียดตั้งแต่ระดับเมตรลงไปถึงระดับมิลลิเมตร การระบุเส้นสันปันน้ำที่ชัดเจนสามารถทำได้ไม่ยากหากมีข้อมูลชั้นความสูงที่เพียงพอ อนึ่ง เมื่อทดลองสร้างเส้นสันปันน้ำด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) พบว่าใกล้เคียงกับแผนที่ 1 : 50,000 มากกว่าแผนที่ 1 : 200,000
“ผมขอสรุปว่าเหมือนเราจะไปต่อกันไม่ได้ถ้าเราไม่มีทางออก ให้ย้อนกลับไปดูที่ทางเข้า คือให้ไปออกที่ประตูที่เข้ามา ก็คือสนธิสัญญาวันที่ 23 มี.ค. 2450 ที่ระบุว่าให้ยึดตามแนวแบ่งน้ำทะเลสาบใหญ่และแอ่งน้ำแม่น้ำโขงด้านหนึ่ง แอ่งน้ำมูลอีกด้านหนึ่ง อันนี้เขียนชัดเจนในพิธีสารประกอบสนธิสัญญา และข้อที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ (หาก) รัฐบาลฝรั่งเศส (ต้องการ) แก้ไขเขตแดนโดยมุ่งหมายที่จะใช้เส้นปกติแทนเส้นธรรมชาติ การแก้ไขดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลสยามไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น” ดร.ธีรเวทย์ ระบุ
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี