ท่านพระอาจารย์มั่น นับแต่ท่านกลับมาทางภาคอีสานเที่ยวนี้ ท่านชำนาญในปัญญาขั้นกลางมากจริงอยู่ เพราะผู้ก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นสาม คือพระอนาคามี ต้องนับว่ามีปัญญาขั้นกลางอย่างพอตัว ไม่เช่นนั้นจะพิจารณาภูมิธรรมขั้นนั้นไม่ได้
การก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นนี้ต้องผ่านกายคตาสติ ทั้งสุภะความเห็นว่ากายเป็นของสวยงาม ทั้งอสุภะความเห็นว่ากายเป็นของไม่สวยงาม ไปด้วยปัญญา มิได้ติดอยู่ โดยจิตแยกสุภะและอสุภะออกด้วยปัญญา แล้วก้าวผ่านไปในท่ามกลางคือมัชฌิมาตรงกลาง ได้แก่ระหว่างสุภะและอสุภะต่อกัน หมดความสงสัยและเยื่อใยในธรรมทั้งสองนั้นอันเป็นเพียงทางเดินผ่านเท่านั้น การพิจารณาถึงขั้นที่ว่านี้จัดว่าเพียงผ่านไปได้ ถ้าเทียบการสอบไล่ก็เพียงได้คะแนนตามกฎที่ตั้งไว้เท่านั้น ยังมิได้คะแนนสูงและสูงสุดในชั้นนั้น
ผู้บรรลุธรรมถึงระดับนี้แล้ว จำต้องฝึกซ้อมปัญญาเพื่อความชำนาญละเอียดขึ้นไป จนเต็มภูมิของธรรมชั้นนั้น ที่เรียกว่าอนาคามีเต็มภูมิ ถ้าตายในขณะนั้น ก็ไปเกิดในชั้นอกนิษฐาพรหมโลกชั้นที่ห้าทันที ไม่ต้องเกิดในพรหมโลกสี่ชั้นต่ำนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเล่าว่า ท่านเคยติดอยู่ในภูมินี้นานเอาการอยู่ เพราะไม่มีผู้คอยให้อุบายใด ๆ เลย ต้องลูบคลำกันอย่างระมัดระวังมาก กลัวจะผิดพลาด เพราะทางไม่เคยเดิน เท่าที่สังเกตรู้ตลอดมา เวลาสติปัญญาละเอียด ธรรมละเอียด ส่วนกิเลสที่จะทำให้หลง ก็ละเอียดไปตาม ๆ กัน จึงเป็นความลำบากอยู่ไม่น้อยในธรรมแต่ละขั้นกว่าจะผ่านไปได้ ท่านเล่า
น่าอัศจรรย์เหลือประมาณ อุตส่าห์คลำไม้คลำตอและขวากหนามโดยมิได้รับคำแนะจากใคร นอกจากธรรมในคัมภีร์เท่านั้น กว่าจะผ่านพ้นไปได้และมาเมตตาสั่งสอนพวกเรา ก็อดที่จะระลึกถึงความทุกข์อย่างมหันต์ของท่านมิได้ เวลากำลังบุกป่าฝ่าดงไปองค์เดียว
มีโอกาสดี ๆ ท่านเล่าถึงการบำเพ็ญของท่านให้ฟัง ที่น่าสมเพชเวทนาท่านนักหนา ผู้เขียนเองเคยน้ำตาร่วงสองครั้งด้วยความเห็นทุกข์ไปตาม เวลาท่านลำบากมากในการบำเพ็ญ และด้วยความอัศจรรย์ในธรรมที่ท่านเล่าให้ฟัง ซึ่งเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้ง จนเกิดความคิดขึ้นมาว่า เรานี้จะพอมีวาสนาบารมีแค่ไหนบ้างหนอ พอจะถูไถเสือกคลานไปกับท่านได้เพียงใดหรือไม่ ก็มีในบางขณะ ตามประสาของปุถุชนอย่างนั้นเอง แต่คำพูดท่านเป็นเครื่องปลุกประสาทให้ตื่นตัวตื่นใจได้ดีมาก นี่แลเป็นเครื่องพยุงความเพียรไม่ให้ลดละเพื่ออนาคตของตนตลอดมา
ท่านเล่าว่า พอเร่งความเพียรทางปัญญาเข้ามากทีไร ยิ่งทำให้จิตใจจืดจางออกจากหมู่คณะมากขึ้น และกลับดูดดื่มทางความเพียรมากเข้าทุกที ทั้งที่ทราบเรื่องของตัวมาโดยลำดับว่ากำลังของเรายังไม่พอ แต่ก็จำต้องอยู่รออบรมหมู่คณะพอให้มีหลักฐานทางใจบ้าง
ทราบว่าท่านจำพรรษาที่จังหวัดนครพนมหลายปี ตามแถบหมู่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม ถ้าจำไม่ผิดก็ราว ๓-๔ ปี ที่บ้านห้วยทราย ซึ่งตั้งอยู่เขตอำเภอคำชะอี จังหวัดเดียวกัน ๑ ปี แถบหมู่บ้านห้วยทราย บ้านคำชะอี หนองสูง โคกกลาง เหล่านี้มีภูเขามาก ท่านชอบพักอยู่แถบนี้มาก ที่เขาผักกูดซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านแถบนั้น ท่านว่าเทวดาก็ชุม เสือก็ชุมมาก ตอนกลางคืนเสือก็มาเที่ยวรอบ ๆ บริเวณที่ท่านพักอยู่ เทวดาก็ชอบมาฟังธรรมท่านบ่อยเช่นกัน กลางคืนเสียงเสือโคร่งใหญ่กระหึ่มอยู่ใกล้ ๆ กับที่พักท่าน บางคืนมันกระหึ่มพร้อมกันทีละหลาย ๆ ตัว เสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งป่า เสียงมันร้องรับกันเหมือนเสียงคนร้องหากันนี่เอง ทางโน้นก็ร้อง ทางนี้ก็ร้อง กระหึ่มรับกันเป็นพัก ๆ ทีละหลาย ๆ ตัวน่ากลัวมาก พระเณรบางคืนไม่ได้หลับนอนกันเลย กลัวเสือจะมาฉวยไปกิน
ท่านฉลาดหาอุบายพูดแปลก ๆ ให้พระเณรกลัวเสือ เพื่อจะได้พากันขยันทำความเพียร โดยพูดว่า ใครขี้เกียจทำความเพียรระวังให้ดีนะ เสือในเขาลูกนี้ชอบพระเณรที่ขี้เกียจทำความเพียรนัก กินก็อร่อยดี ใครไม่อยากเป็นอาหารอร่อยของมันต้องขยัน ใครขยันทำความเพียร เสือกลัวและไม่ชอบเอาเป็นอาหาร พอพระเณรได้ยินดังนั้น ต่างก็พยายามทำความเพียรกัน แม้เสือกำลังกระหึ่มอยู่รอบ ๆ ก็จำต้องฝืนออกไปเดินจงกรมแบบสละตายทั้งที่กลัว ๆ เพราะเชื่อคำท่านว่าใครขี้เกียจเสือจะมาเอาไปเป็นอาหารอันอร่อยของมัน เพราะที่อยู่นั้นมิได้เป็นกุฎีเหมือนวัดทั่ว ๆ ไป แต่เป็นร้านเล็ก ๆ พอหมกตัวเวลาหลับนอนเท่านั้น และเตี้ย ๆ ด้วย เผื่อเสือนึกหิวขึ้นมาและโดดมาเอาไปกินต้องเสียท่าให้มันจริง ๆ เพราะฉะนั้น พระท่านถึงกลัวและเชื่อคำของท่านอาจารย์
ท่านเล่าให้ฟังก็น่ากลัวด้วย ว่าบางคืนเสือโคร่งใหญ่เข้ามาถึงบริเวณที่พระพักอยู่ก็มี แต่ก็ไม่ทำอะไร เป็นเพียงเดินผ่านไปเท่านั้น ตามปกติท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าเสือไม่กล้ามาทำอะไรได้ ท่านว่า เทวดารักษาอยู่ตลอดเวลา คือเวลาเทวดาลงมาเยี่ยมฟังเทศน์ท่าน เขาบอกกับท่านว่า เขาพากันอารักขาไม่ให้มีอะไรมารบกวนและทำอันตรายได้ และขออาราธนาท่านให้พักอยู่ที่นั้นนาน ๆ ฉะนั้น ท่านจึงหาอุบายพูดให้พระเณรกลัวและสนใจต่อความเพียรมากขึ้น เสือเหล่านั้นก็รู้สึกจะทราบว่าที่บริเวณท่านพักอยู่เป็นสถานที่เย็นใจ พวกสัตว์เสือต่าง ๆ ไม่ต้องระวังอันตรายจากนายพราน เพราะตามปกติชาวบ้านทราบว่าท่านไปพักอยู่ที่ใด เขาไม่กล้าไปเที่ยวล่าเนื้อที่นั้น เขาบอกว่ากลัวเป็นบาป และกลัวปืนจะระเบิดทั้งลำกล้องใส่มือเขาตายขณะยิงสัตว์ในที่ใกล้บริเวณนั้น
สิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาท่านไปพักอยู่ ณ สถานที่ใด ซึ่งเป็นแหล่งที่เสือชุม ๆ ที่นั้นแม้ปกติเสือจะเคยมาเที่ยวหากัดวัวควายกินเป็นประจำตามหมู่บ้านแถบนั้น แต่ก็เลิกรากันไป ไม่ทราบว่ามันไปเที่ยวหากินกันที่ไหน เรื่องทั้งนี้ท่านเองก็เคยเล่าให้ฟัง และชาวบ้านหลายหมู่บ้านที่ท่านเคยไปพักอยู่ก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่าเสือไม่ไปทำอันตรายสัตว์เลี้ยงเขาเลย น่าอัศจรรย์มากดังนี้
ยังมีข้อแปลกอยู่อีกอย่างหนึ่งคือเวลาพวกเทวดามาเยี่ยมฟังเทศน์ ท่านหัวหน้าเทวดาเล่าว่า ท่านมาพักอยู่ที่นี่ทำให้พวกเทวดาสบายใจไปทั่วกัน เทวดามีความสุขมากผิดปกติ เพราะกระแสเมตตาธรรมท่านแผ่กระจายครอบท้องฟ้าอากาศและแผ่นดินไปหมด กระแสเมตตาธรรมท่านเป็นกระแสที่บอกไม่ถูกและอัศจรรย์มาก ไม่มีอะไรเหมือนเลยดังนี้
แล้วพูดต่อไปว่า ฉะนั้น ท่านพักอยู่ที่ไหน พวกเทวดาต้องทราบกันจากกระแสธรรมที่แผ่ออกจากองค์ท่านไปทุกทิศทุกทาง แม้เวลาท่านแสดงธรรมแก่พระเณรและประชาชน กระแสเสียงท่านก็สะเทือนไปหมดทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ไม่มีขอบเขต ใครอยู่ที่ไหนก็ได้เห็นได้ยิน นอกจากคนตายแล้วเท่านั้นจะไม่ได้ยิน
ตอนนี้ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ อีกด้วย
จะได้เชิญอาราธนาคำพูดระหว่างท่านพระอาจารย์กับพวกเทวดาสนทนากัน มาลงอีกเล็กน้อย ส่วนจะจริงหรือเท็จ ก็เขียนตามที่ได้ยินได้ฟังมา
ท่านย้อนถามเขาบ้างว่า ก็มนุษย์ไม่เห็นได้ยินกันบ้าง ถ้าว่าเสียงเทศน์สะเทือนไปไกลดังที่ว่านั้น
หัวหน้าเทพฯ รีบตอบท่านทันทีว่า ก็มนุษย์เขาจะรู้เรื่องอะไรและสนใจกับศีลกับธรรมอะไรกันท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขา เขาเอาไปใช้ในทางบาปทางกรรมและขนนรกมาทับถมตัวตลอดเวลา นับแต่วันเขาเกิดมาจนกระทั่งเขาตายไป เขามิได้สนใจกับศีลกับธรรมอะไรเท่าที่ควรแก่ภูมิของตนหรอกท่าน มีน้อยเต็มทีผู้ที่สนใจจะนำตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปทำประโยชน์ คือศีลธรรม ชีวิตเขาก็น้อยนิดเดียว ถ้าเทียบกันแล้วมนุษย์ตายคนละกี่สิบกี่ร้อยครั้ง เทวดาที่อยู่ภาคพื้นแม้เพียงรายหนึ่งก็ยังไม่ตายกันเลย ไม่ต้องพูดถึงเทวดาบนสวรรค์ชั้นพรหมซึ่งมีอายุยืนนานกันเลย
มนุษย์จำนวนมากมีความประมาทมาก ที่มีความไม่ประมาทมีน้อยเต็มที มนุษย์เองเป็นผู้รักษาศาสนา แต่แล้วมนุษย์เสียเองไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักศีลธรรมซึ่งเป็นของดีเยี่ยม มนุษย์คนใดชั่วก็ยิ่งรู้จักแต่จะทำชั่วถ่ายเดียว เขายังแต่ลมหายใจเท่านั้นพอเป็นมนุษย์อยู่กับโลกเขา พอลมหายใจขาดไปเท่านั้น เขาก็จมไปกับความชั่วของเขาทันทีแล้ว เทวดาก็ได้ยินทำไมจะไม่ได้ยิน ปิดไม่อยู่ เวลามนุษย์ตายแล้วนิมนต์พระท่านมาสาธยายธรรมกุสลา ธัมมาให้คนตายฟัง เขาจะเอาอะไรมาฟังสำหรับคนชั่วขนาดนั้น พอแต่ตายลงไปกรรมชั่วก็มัดดวงวิญญาณเขาไปแล้ว เริ่มแต่ขณะสิ้นลมหายใจ จะมีโอกาสมาฟังเทศน์ฟังธรรมได้อย่างไร แม้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจอยากฟังเทศน์ฟังธรรม นอกจากคนที่ยังเป็นอยู่เท่านั้น พอฟังได้ถ้าสนใจอยากฟัง แต่เขามิได้สนใจฟังหรอกท่าน
ท่านไม่สังเกตดูเขาบ้างหรือ เวลาพระท่านสาธยายธรรมกุสลา ธัมมาให้ฟัง เขาสนใจฟังเมื่อไร ศาสนามิได้ถึงใจมนุษย์เท่าที่ควรหรอกท่าน เพราะเขาไม่สนใจกับศาสนา สิ่งที่เขารักชอบที่สุดนั้น มันเป็นสิ่งที่ต่ำทรามที่สัตว์เดียรัจฉานบางตัวก็ยังไม่อยากชอบ นั่นแลเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ไม่ชอบศาสนาชอบมากกว่าสิ่งอื่นใด และชอบแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งชอบแบบไม่มีวันเบื่อไม่รู้จักเบื่อเอาเลย ขณะจะขาดใจยังชอบอยู่เลยท่าน พวกเทวดารู้เรื่องของมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะมาสนใจรู้เรื่องของพวกเทวดาเป็นไหน ๆ มีท่านนี่แลเป็นพระวิเศษ รู้ทั้งเรื่องมนุษย์ ทั้งเรื่องเทวดา ทั้งเรื่องสัตว์นรก สัตว์กี่ประเภทท่านรู้ได้ดีกว่าเป็นไหน ๆ ฉะนั้น พวกเทวดาทั้งหลายจึงยอมตนลงกราบไหว้ท่าน
พอหัวหน้าเทวดาพูดจบลง ท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดเป็นเชิงปรึกษาว่า เทวดาเป็นผู้มีตาทิพย์หูทิพย์แลเห็นได้ไกล ฟังเสียงได้ไกล รู้เรื่องดีชั่วของชาวมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะรู้เรื่องของตัวและรู้เรื่องของพวกมนุษย์ด้วยกัน จะไม่พอมีทางเตือนมนุษย์ให้รู้สึกสำนึกในความผิดถูกที่ตนทำได้บ้างหรือ อาตมาเข้าใจว่าจะได้ผลดีกว่ามนุษย์ด้วยกันตักเตือนกันสั่งสอนกัน จะพอมีทางได้บ้างไหม
หัวหน้าเทวดาตอบท่านว่า เทวดายังไม่เคยเห็นมนุษย์มีกี่รายพอจะมีใจเป็นมนุษย์สมภูมิเหมือนอย่างพระคุณเจ้า ซึ่งให้ความเมตตาแก่ชาวเทพฯ และชาวมนุษย์ตลอดมาเลย พอที่เขาจะรับทราบว่าในโลกนี้มีสัตว์ชนิดต่าง ๆ หลายต่อหลายจำพวกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่เป็นภพหยาบ ทั้งที่เป็นภพละเอียด ซึ่งมนุษย์จะยอมรับว่าเทวดาประเภทต่าง ๆ มีอยู่ในโลก และสัตว์อะไร ๆ ที่มีอยู่ในโลกกี่หมื่นกี่แสนประเภทว่ามีจริงตามที่สัตว์เหล่านั้นมีอยู่
เพราะนับแต่เกิดมามนุษย์ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาแต่พ่อแต่แม่แต่ปู่ย่าตายาย แล้วมนุษย์จะมาสนใจอะไรกับเทวดาเล่าท่าน นอกจากเห็นอะไรผิดสังเกตบ้าง จริงหรือไม่จริงไม่คำนึง พวกมนุษย์มีแต่พากันกล่าวตู่ว่าผีกันเท่านั้น จะมาหวังคำตักเตือนดีชอบอะไรจากเทวดา แม้เทวดาจะรู้เห็นพวกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ก็มิได้สนใจจะรู้เทวดาเลย แล้วจะให้เทวดาตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ด้วยวิธีใด เป็นเรื่องจนใจทีเดียว ปล่อยตามกรรมของใครของเราไว้อย่างนั้นเอง แม้แต่พวกเทวดาเองก็ยังมีกรรมเสวยอยู่ทุกขณะ ถ้าปราศจากกรรมแล้วเทวดาก็ไปนิพพานได้เท่านั้นเอง จะพากันอยู่ให้ลำบากไปนานอะไรกัน
ท่านพระอาจารย์มั่นถามเขาว่า พวกเทวดาก็รู้นิพพานกันด้วยหรือ ถึงว่าหมดกรรมแล้วก็ไปนิพพานกันได้ และพวกเทวดาก็มีความทุกข์เช่นสัตว์ทั้งหลายเหมือนกันหรือ
เขาตอบท่านว่า ทำไมจะไม่รู้ท่าน ก็เพราะพระพุทธเจ้าองค์ใดมาสั่งสอนโลกก็ล้วนแต่สอนให้พ้นทุกข์ไปนิพพานกันทั้งนั้น มิได้สอนให้จมอยู่ในกองทุกข์ แต่สัตว์โลกไม่สนใจพระนิพพานเท่าเครื่องเล่นที่เขาชอบเลย จึงไม่มีใครคิดอยากไปนิพพานกัน คำว่านิพพาน พวกเทวดาจำได้อย่างติดใจจากพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่มาสั่งสอนสัตว์โลก แต่เทวดาก็มีกรรมหนาจึงยังไม่พ้นจากภพของเทวดาให้ได้ไปนิพพานกัน จะได้หมดปัญหา ไม่ต้องวกเวียนถ่วงตนดังที่เป็นอยู่นี้ ส่วนความทุกข์นั้นถ้ามีกรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าสัตว์จำพวกใดต้องมีทุกข์ไปตามส่วนของกรรมดีชั่วที่มีมากน้อยในตัวสัตว์
ท่านถามเทวดาว่า พระที่พูดกับเทวดารู้เรื่องกันมีอยู่แยะไหม?
เขาตอบว่า มีอยู่เหมือนกันท่าน แต่ไม่มากนัก โดยมากก็เป็นพระซึ่งชอบปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาเหมือนพระคุณเจ้านี่แล
ท่านถามว่า ส่วนฆราวาสเล่ามีบ้างไหม?
เขาตอบว่า มีเหมือนกัน แต่มีน้อยมาก และต้องเป็นผู้ใคร่ทางธรรมปฏิบัติ ใจผ่องใสถึงรู้ได้ เพราะกายพวกเทวดานั้นหยาบสำหรับพวกเทวดาด้วยกัน แต่ก็ละเอียดสำหรับมนุษย์จะรู้เห็นได้ทั่วไป นอกจากผู้มีใจผ่องใสจึงจะรู้จะเห็นได้ไม่ยากนัก
ท่านถามเขาว่า ที่ธรรมท่านว่าพวกเทวดาไม่อยากมาอยู่ใกล้พวกมนุษย์ เพราะเหม็นสาบคาวมนุษย์นั้น เหม็นสาบคาวอย่างไรบ้าง ขณะที่ท่านทั้งหลายมาเยี่ยมอาตมาไม่เหม็นคาวบ้างหรือ ทำไมถึงพากันมาหาอาตมาบ่อยนัก
เขาตอบว่า มนุษย์ที่มีศีลธรรมมิใช่มนุษย์ที่ควรรังเกียจ ยิ่งเป็นที่หอมหวนชวนให้เคารพบูชาอย่างยิ่ง และอยากมาเยี่ยมฟังเทศน์อยู่เสมอไม่เบื่อเลย มนุษย์ที่เหม็นคาวน่ารังเกียจ คือมนุษย์ที่เหม็นคาวศีลธรรม รังเกียจศีลธรรม ไม่สนใจในศีลธรรม มนุษย์ประเภทเบื่อศีลธรรมซึ่งเป็นของดีเลิศในโลกทั้งสาม แต่ชอบในสิ่งที่น่ารังเกียจของท่านผู้ดีมีศีลธรรมทั้งหลาย มนุษย์ประเภทนี้น่ารังเกียจจึงไม่อยากเข้าใกล้และเหม็นคาวฟุ้งไปไกลด้วย แต่เทวดามิได้ตั้งข้อรังเกียจชาวมนุษย์แต่อย่างใด หากเป็นนิสัยของพวกเทวดามีความรู้สึกอย่างนั้นมาดั้งเดิมดังนี้
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ต่อจากตอน "พระเณรไม่เชื่อคำเตือนจนเกือบเกิดอันตราย" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-04.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี