“ตลอดเวลาที่เรารู้ว่าเขาพิการ สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยก็คือไอ้แขนด้วน แต่พอเราได้แขนอันนี้มามันพลิกจากคำว่าไอ้แขนด้วนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ มีแต่เด็กมาขอจับมืออันนี้ มาขอเล่นกับน้อง น้องไม่ได้โดดเดี่ยวหลังจากที่เขาได้แขนอันนี้ ทำให้ผู้คนเริ่มเข้าใจว่ามันคืออะไร เด็กๆ อาจจะมองว่าเป็นของเล่นแต่สำหรับน้องมันไม่ใช่ของเล่น มันคือเครื่องช่วยหายใจที่ต่อลมหายใจให้เขามีความรู้สึก จากการหมดหวังจากคำว่าแขนด้วน-ไอ้แขนเดียว อันนี้คือสิ่งที่ช่วยชีวิตเขา”
ความในใจของคุณแม่ท่านหนึ่งที่บอกเล่า “เรื่องราวความทุกข์ของตนเองที่ต้องทนเห็นคนเป็นลูกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและโดดเดี่ยวในแต่ละวัน” ซึ่งก่อนหน้านี้
พยายามขอความช่วยเหลือไปยังองค์กรในต่างประเทศ แต่มีเพียงคำตอบว่า “ขอให้รออย่างอดทน” รอแล้ว-รอเล่า วันเวลาผ่านไปกว่า 3 ปี สุดท้ายได้รับรู้ว่าในประเทศไทยก็มีหน่วยงานที่สามารถช่วยเหลือลูกของตนได้ นั่นคือ“โรงพยาบาลสิรินธร” ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น
คุณแม่ท่านนี้ซึ่งอยู่กับลูกที่ จ.เชียงราย เล่าผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ถ่ายทอดสดมายัง รพ.สิรินธร เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2563 ซึ่งเป็นวันที่คณะสื่อมวลชนติดตามคณะทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เดินทางไปดูงาน “ห้องปฏิบัติการกายอุปกรณ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
(3D Printing)” อีกว่า ก่อนจะสร้างแขนเทียมที่มีลวดลายซูเปอร์ฮีโร่จากการ์ตูนดัง ทีมงานจะให้ช่วยวัดขนาดร่างกายของผู้ใช้แขนเทียมแล้วส่งข้อมูลผ่านวีดีโอคอล (Video Call) “ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย” แม้จะมีต้นทุนหลักหมื่นบาทก็ตาม
พญ.ปริยสุทธิ์ อินทสุวรรณ จิตแพทย์ประจำรพ.สิรินธร เล่าว่า ก่อนจะเป็น รพ.สิรินธร ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยมีชื่อว่า “สถานพยาบาลสีฐาน” ทำหน้าที่เป็น “โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “นิคมผู้ป่วยโรคเรื้อน” เนื่องด้วยช่วงปลายศตวรรษที่ 2400s-ต้นศตวรรษที่ 2500s โรคเรื้อนเป็นโรคที่สังคมรังเกียจและยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ผู้ป่วยโรคเรื้อนจึงไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนทั่วไป หลายคนถูกขับไล่ออกจากชุมชนรวมถึงถูกทำร้ายร่างกาย
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงตั้ง “มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็นสถาบันวิจัยและผลิตบุคลากรด้านการควบคุมโรคเรื้อนโดยเฉพาะ ทำให้ประเทศไทยสามารถหยุดการระบาดของโรคเรื้อนได้ก่อนเวลาที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งเป้าหมายไว้
เมื่อภารกิจควบคุมโรคเรื้อนสิ้นสุดลง รพ.สิรินธร ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นโรงพยาบาลควบคุมโรคติดเชื้อประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรับมือการระบาดของวัณโรค รวมถึงโรคเอดส์ (HIV/AIDS) กระทั่งกลายมาเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทั่วไปจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนในนิคมโรคเรื้อนกว่า 4,000 คน ก็ยังมีชีวิตอยู่และโรงพยาบาลไม่อาจทอดทิ้งได้ “เวลาเป็นโรคเรื้อนแล้วจะมีแผลโดยไม่รู้สึกเจ็บ สุดท้ายมักจบด้วยการต้องตัดมือ-ตัดเท้า” ดังนั้นแขน-ขาเทียมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้พิการกลุ่มนี้
ในอดีตแขน-ขาเทียมจะทำจากเหล็กหรือพลาสติกหล่อซึ่งมีน้ำหนักมากและยังฝึกใช้งานให้คล่องได้ยาก กระทั่งเมื่อมีเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติเกิดขึ้น และมีการตั้งห้องปฏิบัติการขึ้นใน รพ.สิรินธร แทนที่จะต้องส่งแบบไปสั่งทำที่ต่างประเทศ โดยกายอุปกรณ์แบบใหม่นี้ทำจากพลาสติกผสมยาง (TPU) หรือพลาสติกผสมเส้นใยพืช (PLA) คุณสมบัติสำคัญคือน้ำหนักเบาและราคาไม่แพง หากไม่ยึดติดกับสีสันที่ไม่เหมือนอวัยวะจริง สิ่งประดิษฐ์นี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
“เราทำวีดีโอคอลกับไลน์ (แอพพลิเคชั่น Line) แล้วเราก็ทำท่าให้เขาดูว่าวัดแขนอย่างไร แล้วเราก็ให้เขา (ผู้พิการหรือญาติ) เอากระดาษมาแผ่นหนึ่ง วัดแขนให้กับเรา พอวัดแขนเสร็จเราก็บอกว่าวัดได้เท่าไหร่ เขียนใส่กระดาษ ใส่ซองติดแสตมป์ส่งมา ฉะนั้นในระหว่างที่เราวัดเขา เขาขานตัวเลขออกมา ได้ตัวเลขก็เข้าไปในห้องออกแบบ ก็ออกแบบเป็นแขนขึ้นมา ส่วนอันที่เขาใส่ซองติดแสตมป์มาก็จะเป็นขนาดมือจริงที่ให้เราเทียบว่ามือเทียมที่เราทำจะมีขนาดเท่ากับมือจริงไหม มันจะได้ไม่หลอกตา” พญ.ปริยสุทธิ์ กล่าว
คุณหมอท่านนี้ ยังกล่าวอีกว่า ด้วยความที่ตนเป็นจิตแพทย์ จึงมองเห็นต่อไปอีกว่า “การที่ผู้พิการได้มีชีวิตใหม่ เขาจะเปลี่ยนจากผู้รับเป็นผู้ให้” หลายคนหลังจากได้รับกายอุปกรณ์จาก รพ.สิรินธร ไปใช้แล้วในเวลาต่อมาได้แนะนำให้ผู้พิการคนอื่นๆ ที่รู้จักให้มาติดต่อกับโรงพยาบาลบ้าง หรือเข้าไปช่วยวัดขนาดเพื่อประสานกับโรงพยาบาลให้ช่วยทำกายอุปกรณ์ให้บ้าง ก่อเกิดเป็น“ไทยฤทธิ์ (Thai Reach)” ผู้ก่อการดีพิชิตความพิการ ขยายไปทั่วประเทศ
และต้องย้ำว่า “โรงพยาบาลไม่หวงความรู้..และยินดีถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจสร้างห้องปฏิบัติการในลักษณะเดียวกันเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ” ให้ผู้พิการด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น อุบัติเหตุ การทำงาน รวมถึงทหารผ่านศึก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ สำหรับที่ รพ.สิรินธรยังมีการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ พัฒนา “เฝือก” ขึ้นมาทดแทนการหล่อปูนแบบเดิมที่มีน้ำหนักมากและมีกลิ่นเหม็น แต่ยังคงประสิทธิภาพการยึดและเชื่อมต่อกระดูกได้ดีไม่ต่างกัน ซึ่งแนวคิดนี้มาจากการเห็นแพทย์ท่านหนึ่งในโรงพยาบาลที่ผ่าตัดและต้องใส่เฝือกที่ข้อเท้า
ด้าน วิชิตร์ แสงทองล้วน ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวเสริมว่า ภารกิจของ ก.พ.ร. คือการพัฒนาระบบราชการซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “การผลักดันให้ส่วนราชการใช้นวัตกรรมหรือเครื่องมือต่างๆ เพื่อพัฒนางานบริการ” ให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว “ลบคำตัดพ้อทำนองว่าประชาชนไม่ได้รับการเหลียวแล” จึงจัดให้มีการมอบ “รางวัลเลิศรัฐ” ขึ้นเผยแพร่ผลงานดีๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การพัฒนางานบริการหรือพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เป็นต้น โดย รพ.สิรินธรก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับรางวัล
“เรามีงานบริการที่ก้าวหน้าไปแล้ว มีงานบริการที่ตอบรับกับประชาชนแล้ว ไม่ใช่เป็นแบบเดิมที่เป็นราชการก็ไม่ต้องทำอะไร ก็สั่งเอาๆ อยากจะทำอะไรก็ทำ เราก็ไม่ใช่ เราก็บอกว่าเราเน้นความต้องการ เหมือนอย่างที่คุณหมอบอกว่าเวลาจะต่อแขนต่ออะไรก็ต้องถามว่าเขาอยากจะเอาไปทำอะไร เราก็อยากจะทำอะไรใกล้ต่อการปรับตัวของประชาชน ของผู้รับบริการให้มากขึ้น” ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวในท้ายที่สุด
หมายเหตุ : ชมคลิปวีดีโอเรื่องเล่าความในใจคนเป็นแม่ที่เห็นลูกแขนพิการได้มือเทียมและมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ARpN46UhoRU (ชื่อคลิป “ความสุขของแม่เมื่อลูกพิการได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติ”)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี