“น้ำเมา” หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นหนึ่งในหัวข้อที่สังคมไทยถกเถียงกันเสมอมาระหว่างฝ่ายที่เห็นว่า “การดื่มเป็นวิถีชีวิตและสิทธิส่วนบุคคล” อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจการควบคุมจึงควรเน้นหนักเพียงไม่กี่เรื่องเท่าที่จำเป็น เช่น การดื่มแล้วขับ การจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชน กับอีกฝ่ายที่มองว่า“การดื่มไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเพราะนำไปสู่ปัญหาส่วนรวม” มองเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำเมาเป็นเงินบาป จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไม่ดื่ม อาทิ การห้ามโฆษณา ไปจนถึงแนวคิดสุดโต่งอย่างห้ามผลิตและขาย
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนาเรื่อง “ทิศทางและอนาคตธุรกิจสุราไทย”ณ รร.เอเชีย ย่านราชเทวี กรุงเทพฯ โดย ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัยอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและแอดมินเพจ “Surathai” เครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายย่อยระดับท้องถิ่น กล่าวว่า เรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถมองได้หลายแง่มุม
เช่น เป็นรายได้ของรัฐแต่ก็มีผลกระทบต่อสังคม อยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างอารยธรรม ในทางศาสนาก็มีทั้งศาสนาที่กำหนดเป็นข้อห้ามและศาสนาที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ทั้งนี้ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่กำเนิดมาจากส่วนผสมของวัตถุดิบในแต่ละท้องถิ่น” ไม่ต่างจากอาหาร ทำให้ผลิตภัณฑ์แต่ละพื้นที่มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป
“เรากำลังจะไปที่ จ.แพร่ ในเดือนหน้า (ต.ค. 2563) จะไปเยี่ยมชาวสุราที่ทำเหล้าข้าวซึ่งเป็นวัฒนธรรมอยู่ในชุมชนตั้งแต่โบราณกาล แล้วปัจจุบันเขาทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะสรรพสามิตซึ่งเป็นกรมที่ดูแลเรื่องการผลิตเขาได้อนุญาตให้ประชาชนหรือชาวบ้านผลิตสุราได้ในขนาดประกอบการขนาดเล็ก ทำให้เหล้าของแพร่นี่เป็นเอกลักษณ์ เป็นวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมา พวกเราที่อยู่ต่างจังหวัดต้องเดินทางไปดูว่าเขาทำอย่างไรเขาถึงสามารถทำให้เหล้าแพร่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้
เวลามีงาน OTOP ทุกครั้งเราจะพบบูธที่มาจาก จ.แพร่ ก็จะมีเหล้าที่หลากหลายแตกต่างกัน ถ้าเราเปิดชิมดูซึ่งผมไม่สามารถพูดในที่นี้ได้เพราะเดี๋ยวจะโดนมาตรา 32 (พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551) ว่ามันมีเอกลักษณ์ของเขาแต่ละบ้าน แล้วลูกแป้งที่เขาใช้เป็นหัวเชื้อสุรามันสามารถต่อเนื่องมาได้อย่างไรจนถึงปัจจุบันนี้ จนกระทั่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ผมทำงานวิจัยอยู่ในมหาวิทยาลัย ยังไม่สามารถไปแข่งกับเขาได้ในการใช้ลูกแป้งของชาวบ้าน” อาจารย์เจริญ ยกตัวอย่าง
อาจารย์เจริญกล่าวต่อไปว่า ไทยมีศักยภาพในการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เทียบชั้นกับต่างประเทศ เช่น นโปเลียนคอนยัค ไวน์บอร์กโดซ์ จากฝรั่งเศส ดังจะเห็นได้จากมีคนไทยไปผลิตเบียร์ที่เวียดนามและส่งประกวดได้รับรางวัล แต่รางวัลระบุว่าเป็นเบียร์เวียดนามแทนที่จะเป็นเบียร์ไทย “ส่วนการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจากการดื่มนั้น ความจริงก่อนจะมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ก็มีกฎหมายหลายฉบับควบคุมอยู่ก่อนแล้ว” แต่เมื่อกฎหมายเดิมที่มีอยู่บังคับใช้ไม่ได้แล้วไปออกกฎหมายใหม่มาซ้ำซ้อน ก็ทำให้เป็นภาระกับประชาชน
ขณะที่ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับให้ความเห็นว่า “ประเทศไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม จึงควรส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชุมชนท้องถิ่น”เพราะทั้งวัตถุดิบ ทั้งองค์ความรู้ต่างๆ เป็นของท้องถิ่นแทบทั้งสิ้น ต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตรถยนต์ ที่ทำอย่างไรประเทศไทยก็คงไม่สามารถแข่งขันเทียบชั้นกับญี่ปุ่นได้ และทุกวันนี้ที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยเติบโต ในความเป็นจริงไทยเป็นเพียงผู้นำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบ ไม่ได้ผลิตเองตั้งแต่รากของสินค้านั้นๆ แต่อย่างใด
ดังนั้นแล้วนโยบายจึงควรเป็นแบบ “ส่งเสริมก่อนแล้วค่อยควบคุม” ที่ผ่านมาประเทศไทยเน้นออกกฎหมายเพื่อควบคุมแต่ไม่เอื้อโอกาสให้กับชนชั้นรากหญ้า “ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สร้างความมั่งคั่งได้จริง ดังตัวอย่างของมหาเศรษฐีบางท่าน” คนไทยมีศักยภาพในการแข่งขันกับนานาชาติหากได้รับการส่งเสริมที่ดี ขณะที่การควบคุมก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กลายเป็นการเอื้อประโยชน์กับคนบางกลุ่ม
ส่วนปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทยนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นทุกเรื่องไม่ใช่เพียงการเมาแล้วขับ “เหตุใดคนไทยไปขับรถในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียถึงสามารถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดได้ แต่พอคนฝรั่งหรือคนมาเลเซียมาอยู่เมืองไทยแม้แต่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่สวมหมวกกันน็อก” ทั้งที่คน
ต่างชาติเหล่านี้เติบโตมาในประเทศที่มีกฎระเบียบเข้มงวด นั่นเพราะที่ต่างประเทศนั้นผู้คนจะรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าหากฝ่าฝืนกฎหมาย
“คนมาเลย์เขาไม่ขับ ขับได้อย่างไร เสร็จแน่ ผมถามเขา เขาบอกว่าไม่มีทางหรอกครับในมาเลเซียกินเหล้าแล้วขับรถ แต่ถ้าอยากทำจริงๆ ง่ายครับ ขับรถข้ามแดนไปที่หาดใหญ่ เขาบอกผมอย่างนี้ว่าถ้าจะกินเหล้าแล้วขับรถก็ไม่ยาก แค่ข้ามแดนก็ทำได้เลย นี่ขนาดคนมาเลย์ยังรู้สึกเลยว่าถ้าอยากทำแบบนี้ให้ไปที่ประเทศไทย แล้วถามว่าทำไมมันง่าย เขาบอกว่าไปประเทศไทยไปทำอะไรก็ได้ ถามว่าไม่กลัวหรือ ประเทศไทยมีกฎหมายเข้มพอๆ กับมาเลย์ เขาบอกอยู่มาเลเซียเขาจัดการกับกฎหมายไม่ได้ แต่ถ้าเขาไปประเทศไทยเขาจัดการได้” นพ.แท้จริง กล่าว
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.นิสิต อินทมาโน ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม ในฐานะที่เคยไปเรียนและใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา เล่าว่า “ที่สหรัฐฯ เมื่อลูกค้าสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พนักงานร้านอาหารต้องขอดูบัตรประชาชนก่อนทุกครั้งโดยไม่มีข้ออ้างประเภทลูกค้าหน้าเด็กหรือหน้าแก่กว่าอายุหรือไม่” เพราะหากจำหน่ายให้กับผู้มีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดจะถือเป็นความผิดทันทีและไม่อาจแก้ตัวใดๆ เช่นเดียวกับการที่เมื่อพนักงานเข้าห้องน้ำ มีกฎหมายกำหนดให้ล้างมือทุกครั้งก่อนจะออกไปเสิร์ฟอาหารด้วย
“ถามว่าถ้าไม่ทำโดนไหม โดนครับแล้วโดนหนักด้วย เอาง่ายๆ เสิร์ฟ โทษปรับแล้วก็ร้านต้องปิดไป 7 วัน แต่ถ้าเมาแล้วขับวันนี้คุกพรุ่งนี้เจอศาล ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกประธานาธิบดีหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ได้เหมือนกับประเทศเราที่ต้องรู้จักใคร” อาจารย์นิสิต กล่าว
ในตอนแรกนี้เป็นการกล่าวถึงแง่มุมต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนในตอนหน้า (สกู๊ปแนวหน้าหน้า 5 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. 2563) จะว่ากันด้วยประเด็นร้อนอันดับต้นๆ ของเรื่องนี้อย่าง “การห้ามโฆษณา” ว่าตกลงแล้วสมดุลควรอยู่ตรงไหนกันแน่..โปรดติดตาม!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี