“การศึกษา” คือประตูบานสำคัญสู่โอกาสในชีวิต แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งสาเหตุสำคัญคือ“ความยากจน”
จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ที่ได้มาจากการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายองค์กร อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ในการแสดงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำหลากหลายมิติในสังคมไทย พบว่าในปี พ.ศ.2562 คนไทยวัยแรกเกิดถึง 25 ปี ทั้งประเทศ จำนวน 20.54 ล้านคน มีเด็กและเยาวชนที่กำลังเผชิญความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษามากถึง 4.32 ล้านคน หรือคิดเป็นจำนวน 1 ใน 5
ในจำนวนนี้ กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ เด็กวัยเรียน ช่วงอายุ 6-14 ปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงการศึกษาระหว่าง ป.1-ม.3จำนวน 2.22 ล้านคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้เรียน อยู่นอกระบบการศึกษา แม้จะได้สิทธิ์เรียนฟรีตามนโยบายของรัฐก็ตาม
เพราะปัญหาความยากจน จึงทำให้มีนักเรียนจำนวน 1.79 ล้านคน อยู่ในความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดคือ นักเรียนยากจนพิเศษ จำนวน 8.4 แสนคน ซึ่งหากไม่ได้รับความช่วยเหลือพวกเขาจะหลุดออกจากระบบการศึกษาทันที
ขอขยายความคำว่า “นักเรียนยากจนพิเศษ” สักหน่อยกลุ่มนี้ก็คือเด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่สมาชิกที่มีรายได้เฉลี่ย 1,332 บาท/คน/เดือน หรือ คิดเป็นวันละ 44 บาท เท่านั้น ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ในช่วงเปิดเทอม (ไม่รวมค่าเดินทาง) อยู่ที่ 1,195-4,829 บาทต่อครัวเรือน(ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจเมื่อปี พ.ศ.2560)ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงเปิดเทอม ครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษต้องแบกรับค่าใช้จ่าย คิดเป็นเกือบทั้งหมดของรายได้ต่อเดือน
ในสภาวะปกติ นักเรียนยากจนก็สุ่มเสี่ยงต่อการหลุดออกนอกระบบอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ซ้ำเติมอีกก็ยิ่งน่าเป็นห่วงไปใหญ่
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)มีการจัดแถลงข่าวรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลัง
โควิด-19 ภาคเรียนที่ 1/2563 โดย สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ต่อรายได้และการมีงานทำของครัวเรือนนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาหลังโควิด-19 ภาคเรียนที่ 1/2563 มีนักเรียนยากจน 1.7 ล้านคน แบ่งเป็นนักเรียนยากจนพิเศษ 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียน 2/2562 มากกว่า 1.7 แสนคน
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในภาคเรียนที่ 1/2562 เทียบกับสถานการณ์เกิดการแพร่ระบาดแล้วในภาคเรียนที่ 1/2563 พบว่ามีนักเรียนยากจนพิเศษ (นักเรียนทุนเสมอภาค) ที่ผ่านการคัดกรองใหม่ 652,341 คน ประกอบไปด้วย กลุ่มเป้าหมายใหม่คือนักเรียนอนุบาลสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ 146,693 คน นักเรียนกลุ่มเดิมที่คัดใหม่เนื่องจากครบ 3 ปีการศึกษา 313,361 คน นักเรียนสังกัดอปท.และตชด. 14,834 คน และกลุ่มใหม่ที่คาดว่ายากจนเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 177,453 คน หรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 ของนักเรียนยากจนพิเศษ ก่อนมีสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ น.ส.ณัฐชา ก๋องแก้ว นักเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(วสศ.) นำเสนอผลการวิเคราะห์เชิงลึกข้อมูลครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 600,000 ครัวเรือน พบว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อรายได้ของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษกลุ่มใหม่ ทำให้รายได้เฉลี่ยลดลงจาก 1,205 บาท/คน/ครัวเรือน เหลือเพียง 1,077 บาท/คน/ครัวเรือน หรือเฉลี่ยเหลือเพียงวันละ 36 บาท ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19เมื่อปลายปี 2562 เฉลี่ยวันละ 40 บาท
ในขณะที่หลังสถานการณ์โควิด-19 พบว่า สมาชิกในครัวเรือนอายุ 15-65 ปี ว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44 เป็นร้อยละ 73 ของนักเรียนยากจนพิเศษที่คัดกรองใหม่หลังสถานการณ์โควิด-19 และส่งผลให้สมาชิกครัวเรือนเฉลี่ยของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้น จาก 4 เป็น 5 คน หรืออย่างน้อย 1 คน จึงคาดว่าเป็นผลมาจากการกลับภูมิลำเนาเนื่องจากว่างงานในช่วงโควิด-19 ที่สำคัญยังพบว่าผู้ปกครองนักเรียนลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐ ถึงร้อยละ 42 และยังพบว่า มีการประกอบอาชีพเกษตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 44 หากเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่มีประมาณร้อยละ 36
ทั้งนี้ กสศ. ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำคลังข้อมูลด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในไทยที่ชื่อว่า “EEF IN Number” ขึ้น เพื่อนำเสนอเรื่องราวของเด็กยากจนพิเศษที่เสี่ยงจะหลุดออกนอกระบบการศึกษาสถิติ ตัวเลข รวมถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และคาดหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้และทำให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยได้รับโอกาสเข้าถึงความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น
ดร.ไกรยส กล่าวเสริมว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ กสศ. ได้พิจารณาปรับแผนการช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนพิเศษทั้งกลุ่มเดิม จำนวน 414,688 คน และกลุ่มใหม่ จำนวน 652,341 คนรวมเป็น 1,067,029 คน จากเดิมที่เคยให้ความช่วยเหลือนักเรียนทุนเสมอภาค 761,729 คน ในปีการศึกษา 2562 ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การขยายกลุ่มเป้าหมาย แต่กสศ.ได้วิเคราะห์ผลลัพธ์ในเชิงคุณภาพ ยืนยันว่า เมื่อนักเรียนยากจนพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตราการมาเรียนต่ำกว่าร้อยละ 80 ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาคอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดผลกระทบ ป้องกันไม่ให้หลุดออกนอกระบบการศึกษาได้
โดยเด็กกลุ่มนี้มีอัตราการมาเรียนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากมาเรียนร้อยละ69.4 หรือราว 3 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 89.4 หรือราว 4 วันครึ่ง และเมื่อเด็กได้รับเงินอุดหนุนต่อเนื่องอีกหนึ่งภาคเรียน อัตราการมาเรียนเฉลี่ยก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นยอมรับว่าโควิด-19ส่งผลกระทบหนักมาก แต่ความร่วมมือระหว่าง กสศ. และหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สพฐ. ตชด. อปท.จะช่วยบรรเทาปัญหานี้ให้เบาลงได้ไม่มากก็น้อย ส่วนหนึ่งต้องขอขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรที่พิจารณาแปรญัตติเพิ่มงบประมาณกลับมาให้กับ กสศ.จนสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษได้เพิ่มขึ้น
“ปัญหานี้มีขนาดใหญ่มาก และยังมีกลุ่มนักเรียนยากจนพิเศษที่เรียนจบชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 และ ม.3 ขึ้น ม.4หรือ ปวช. ที่มีความเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษา เพราะสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งเรื่องรายได้ของครอบครัวที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้เด็กๆ ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา”
ดร.ไกรยสได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยการเชิญชวนภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมเติมเต็มความช่วยเหลือให้กับน้องๆกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้มิให้หลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร เพื่อให้เด็กเยาวชนในระบบการศึกษาผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ไปได้ด้วยกันทุกคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี